หลิงหลงกำลังประหลาดใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ลิ่นเซี่ยวจึงสั่งให้หยุดรถม้า ผ่านไปครู่หนึ่งผ้าม่านรถม้าก็เลิกขึ้น มีนักพรตน้อยใบหน้าหล่อเหลาชวนมองก้าวขึ้นมา
แม้ว่าต้าถังจะมีแนวคิดผ่อนปรนเปิดกว้าง ฉะนั้นเรื่องการระวังตัวของบุรุษสตรีจึงไม่เคร่งครัดเท่าราชวงศ์ก่อน แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้บุรุษสตรีนั่งรถม้าคันเดียวกัน
ใบหน้าของหลิงหลงบึ้งตึงลงในพริบตา สาวใช้ข้างกายนางก็ร้องโวยวาย “นักพรตจากที่ใดกัน เหลวไหลสิ้นดี ยังไม่รีบลงไปอีก!”
ฉวีชิ่นเหยาเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ยิ้มแต้เตรียมเอ่ยปากอธิบาย แต่ลิ่นเซี่ยวที่อยู่นอกรถม้าเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องแตกตื่นไป นางคือญาติผู้น้องจากเมืองไกลของเจี่ยงซานหลาง อยากจะออกมาชมโคมไฟถึงได้จงใจแต่งตัวเป็นนักพรตเช่นนี้ แล้วก็ไปทางเดียวกับพวกเราด้วย พวกเจ้านั่งรถม้าคันเดียวกันได้”
หลิงหลงตกตะลึงเล็กน้อย รีบมองสำรวจนักพรตน้อยตรงหน้าอย่างละเอียดก็เห็นจริงดังว่าเพราะนางริมฝีปากแดงฟันขาว ผิวพรรณขาวเนียนดุจหยก นอกจากจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่งแล้ว รูปโฉมยังงดงามไม่ธรรมดาอีกด้วย
คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของลิ่นเซี่ยวที่แสดงการปกป้องสตรีนางนี้ หลิงหลงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด ไตร่ตรองถ้วนถี่อยู่สักพักก็คลี่ยิ้มอ่อนหวาน “เจ้าค่ะพี่ชาย หลิงหลงเข้าใจแล้ว”
รถม้าเริ่มเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง หลิงหลงลุกขึ้นมาจูงมือฉวีชิ่นเหยาให้นั่งลงข้างกายพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นคุณหนูจากจวนกั๋วกง ช่างมีรูปโฉมงดงามนัก เจ้าก็ออกมาชมโคมไฟ แต่เหตุใดถึงออกมาลำพังล่ะ ไม่กลัวพวกขอทานพาตัวไปหรือ” นางหัวเราะคิกคักแล้วแนะนำตนเอง “ข้าชื่อหลิงหลง เจ้าล่ะ”
“เรียกข้าอาเหยาเถอะ” ฉวีชิ่นเหยานั่งลงข้างหลิงหลง ฉวยโอกาสกุมมือของหลิงหลงเอาไว้ กล่าวชื่นชมจากใจว่า “พี่หลิงหลงต่างหากเล่าที่งามนัก” สายตาเหลือบมองไปที่ข้อมือขาวผ่องดั่งหิมะ ดีจริงเชียว เส้นสีทองเข้มกว่าที่เห็นเมื่อเช้าหลายส่วน ถ้าหากนางเป็นผู้ใช้กู่คนที่สอง พิษกู่ในร่างจะต้องเผยตัวตนออกมาแน่
ฉวีชิ่นเหยาถอนสายตากลับมา เงยหน้ามองหลิงหลง “ฟังจากสำเนียงของท่านแล้ว ท่านไม่ใช่คนฉางอันกระมัง”
หลิงหลงพยักหน้ารับ “ข้าเป็นคนโยวโจว เพิ่งมาที่ฉางอันครั้งแรก หาได้ยากนักที่จะมีการปล่อยโคมไฟเช่นวันนี้ ถึงได้ขอร้องพี่ชายให้พาข้าออกมาชม จริงสิ ยังไม่ได้ถามเลยว่าน้องสาวพักอยู่ที่ใด”
“ข้าก็มาขออาศัยอยู่ที่จวนหลูกั๋วกงชั่วคราว” ฉวีชิ่นเหยาเลิกผ้าม่านรถมองออกไปข้างนอก เปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยไม่ตั้งใจ “พี่หลิงหลงดูนี่เร็วเข้า บนท้องถนนคึกคักมากเลย”
ถนนสองข้างทางมีโคมไฟสารพัดรูปแบบแขวนประดับส่องสว่าง ถนนใหญ่ตลอดเส้นทางมีบุรุษและสตรีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดออกมาชมโคมไฟ เหล่าพ่อค้าส่งเสียงร้องเรียกลูกค้าเข้าร้าน หอสุรามีเงาร่างผู้คนวูบไหวไปมา เครื่องสายจากหอดนตรีบรรเลงเพลงต่อเนื่องไม่ขาด ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความมั่งคั่งรุ่งเรือง
นี่คือเมืองฉางอันที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดในแผ่นดินนี้
หลิงหลงดวงตาเป็นประกายพลางส่งเสียงอุทานชื่นชมแผ่วเบา
ฉวีชิ่นเหยาลอบมองอยู่ด้านข้างเงียบๆ พอนางจะเอ่ยปาก รถม้าก็หยุดนิ่งลง เสียงของลิ่นเซี่ยวดังมาจากนอกรถม้า
“ยังไม่ถึงคลองคูเมือง แต่ว่าตรงนี้มีหอดนตรีเลื่องชื่อของเมืองฉางอัน ขับร้องบทเปี้ยนเหวินได้ไพเราะทีเดียว ลงจากรถตรงนี้ก่อน นั่งฟังสักเพลงแล้วค่อยไปต่อ”
“ดียิ่งนัก” หลิงหลงตอบรับด้วยความดีใจ สั่งให้สาวใช้เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นก่อนจะหันมาจูงมือฉวีชิ่นเหยา “ไปเถอะ พวกเราลงจากรถกัน”
ร้านสุราข้างทางบรรยากาศคึกคักรื่นเริง กับแกล้มสุราในร้านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การตกแต่งร้านเรียกได้ว่าประณีตพิถีพิถัน ส่วนที่โดดเด่นที่สุดก็คือชั้นสองอยู่ตรงข้ามกับหอดนตรี ทัศนวิสัยเปิดกว้าง เป็นสถานที่ชั้นเยี่ยมสำหรับดื่มด่ำกับบทเพลง
ลิ่นเซี่ยวเดินนำหลิงหลงและฉวีชิ่นเหยาขึ้นมาที่ชั้นบน เลือกห้องส่วนตัวที่เงียบสงบห้องหนึ่ง พวกเขานั่งลงไล่เรียงกันตามลำดับ
แม้ว่าฉางหรงจะเป็นองครักษ์ประจำตัวของลิ่นเซี่ยว แต่ว่าที่นั่งอยู่กับคุณชายเป็นกุลสตรีในห้องหอทั้งสองคน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาจึงต้องมานั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านล่าง กินอาหารร่วมกับบ่าวไพร่ที่เหลือแทน
ลิ่นเซี่ยวมองหน้าฉวีชิ่นเหยาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากับหลิงหลงกินอาหารเย็นแล้วถึงออกมา เจ้าล่ะ กินอะไรมาแล้วหรือยัง”
ตอนนี้ฉวีชิ่นเหยาเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังหิว นางเอามือลูบท้อง ส่งยิ้มกว้างเห็นฟันขาวด้วยความเกรงใจ “ยังไม่ได้กินอะไรมาเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้เริ่มรู้สึกหิวนิดหน่อยแล้ว”
ลิ่นเซี่ยวเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาสั่งอาหารพลางคิดไปว่าฉวีชิ่นเหยามีฐานะเป็นนักพรต ไม่รู้ว่ามีข้อห้ามใดเรื่องอาหารการกินหรือไม่ ทบทวนดูแล้วก็สั่งอาหารมังสวิรัติมาสองสามอย่าง เสี่ยวเอ้อร์กำลังจะเดินจากไป ลิ่นเซี่ยวก็นึกขึ้นได้ว่ากว่าอาหารจะทำเสร็จเรียบร้อยต้องใช้เวลา กลัวว่าฉวีชิ่นเหยาจะหิ้วท้องรอนานเกินไป จึงเรียกเสี่ยวเอ้อร์กลับมาอีกและสั่งความเพิ่มเติมว่า “รีบยกอาหารว่างมาก่อน”