ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 3
ฉวีชิ่นเหยาลอบชื่นชมความละเอียดรอบคอบของลิ่นเซี่ยว หลิงหลงกลับไม่เคยเห็นลิ่นเซี่ยวเอาใจใส่ใครอย่างทั่วถึงมาก่อน ที่ผ่านมาเวลาคนทั้งสองพบหน้ากันในจวน ถ้าหากเขาไม่พูดน้อยประหยัดถ้อยคำ ก็ต้องผลักไสให้อยู่ห่างเป็นพันหลี่ มีหรือจะแสดงสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนเช่นนี้
ในใจนางดุจมีคลื่นพลิกแม่น้ำคว่ำทะเลรอยยิ้มบนใบหน้ากลับกดลึกลงไปกว่าเดิม
“คิดว่าพี่ชายคงจะเป็นแขกประจำของร้านสุรานี้ แม้กระทั่งเวลาสั่งอาหารก็คล่องแคล่วเชี่ยวชาญ ไม่รู้ว่าใกล้ๆ แถวนี้ยังมีร้านใดน่าอร่อยน่าสนุกอีกบ้าง อีกประเดี๋ยวพี่ชายจะต้องพาข้ากับน้องอาเหยาไปเดินเที่ยวเล่นให้ทั่วแล้ว”
ที่แท้นางชื่ออาเหยา
ลิ่นเซี่ยวหันไปมองฉวีชิ่นเหยา เขารู้แค่ว่านางเป็นบุตรสาวของไท่สื่อลิ่งฉวีเอินเจ๋อ ร่างกายป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เล็ก ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าญาติพี่น้องและสหาย การมีตัวตนของนางเกือบคล้ายกับเงาอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่มีทางรู้ชื่อของนางได้เลย และยิ่งไม่มีทางสืบได้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงมาเป็นนักพรต
หลิงหลงรออยู่เนิ่นนานก็ไม่มีการตอบรับจากลิ่นเซี่ยว นางรู้สึกใกล้จะประคองใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่ ฉวีชิ่นเหยาสังเกตเห็นจึงรีบออกหน้าแก้ไขสถานการณ์
“แม้ข้าจะไม่ค่อยออกจากบ้าน แต่ก็รู้ว่าใกล้ๆ แถวนี้มีร้านหนึ่งทำผลอิงเถา สดราดนมหมักได้อร่อยมาก ปกติแล้วจะมีคนต่อแถวรอซื้อยาวเหยียดเลยเชียวล่ะ ร้านนั้นห่างไปไม่ไกลด้วย อยู่ที่ตรอกหย่งชุนข้างๆ ที่นี่เอง เอาไว้พวกเราไปลองซื้อมาชิมดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลิงหลงหัวเราะออกมาโดยพลัน “แหม ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้รอบรู้เรื่องฉางอัน เยี่ยมไปเลย พี่ชายไม่สนใจใครก็ปล่อยเขาไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะเกาะติดแต่เจ้า ห้ามรังเกียจว่าข้าน่ารำคาญเหมือนพี่ชายล่ะ”
ลิ่นเซี่ยวยกจอกสุราขึ้นดื่มคำหนึ่งโดยไม่เอ่ยตอบอะไรออกมาเลย
หลิงหลงก็เลิกสนใจเขาไปโดยสิ้นเชิง ลากตัวฉวีชิ่นเหยาไปยืนที่ริมหน้าต่าง ชี้ชวนดูโคมไฟท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
หอดนตรีฝั่งตรงข้ามตั้งแท่นการแสดงร่ายรำชุดหนึ่งตรงกลางถนน เงาร่างของคณะนักแสดงสะท้อนเป็นภาพเลือนรางอยู่ด้านหลังม่าน เสียงดนตรีบรรเลงค่อยๆ ดังขึ้น ละครน่าสนุกกำลังจะเปิดฉากแล้ว
เสียงร้องแหลมสูงของนักแสดงดังกังวานขึ้นพร้อมกัน ผู้ชมรอบทิศทางต่างยื้อแย่งกันโห่ร้องชื่นชม บทเพลงที่จะแสดงในวันนี้ก็คือ ‘ทำนองสยบมาร’ พระเซ่อลี่ สวมหน้ากากใบหน้าดุร้ายขึ้นเวที ต่อสู้ปะทะภูตผีปีศาจที่ไร้รูปร่างอย่างทรงพลังน่าเกรงขาม เสียงร้องที่ขับขานแหลมสูงก้องกังวาน ท่วงทำนองแปรเปลี่ยนไร้จุดสิ้นสุด น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ในอากาศราวกับมีกลิ่นอายชวนขนลุกฟุ้งกระจายในพริบตา
“เจ้ากลัวหรือไม่” หลิงหลงกระซิบถามฉวีชิ่นเหยา
ฉวีชิ่นเหยายิ้มแล้วส่ายหน้า
“ข้าไม่ค่อยชอบดูการแสดงบทเปี้ยนเหวินเท่าไร จำได้ว่าตอนยังเล็ก ทุกครั้งที่ดูจะต้องฝันร้ายน่ะสิ” หลิงหลงกุมมือของฉวีชิ่นเหยาเอาไว้แน่น
ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกตึงเครียดหรือหวาดกลัว ฉวีชิ่นเหยาสัมผัสได้ว่าเล็บยาวของหลิงหลงกรีดลงที่ข้อมือของนางจนเจ็บเล็กน้อย
นางพยายามหลบเลี่ยงสัมผัสของหลิงหลงอย่างเยือกเย็น แต่เมื่อหลิงหลงกรีดร้องตกใจออกมา ก็กุมมือของนางเอาไว้แน่นอีกครั้งพลางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าหวาดกลัว “กิริยาท่าทางของพระอรหันต์องค์นี้น่ากลัวเหลือเกิน”
ฉวีชิ่นเหยามีสีหน้าเย็นชา สลัดข้อมือจากการเกาะกุมของหลิงหลงอย่างเชื่องช้าและแน่วแน่
หลิงหลงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปมองฉวีชิ่นเหยา สีหน้าที่เคยแตกตื่นลนลานค่อยๆ จางหายไป ในดวงตามีคลื่นอารมณ์ปั่นป่วนไม่ชัดเจนพลุ่งพล่านอยู่
ฉวีชิ่นเหยาสบสายตากับนางอย่างเงียบงัน ไม่นานด้านหลังก็มีคนเดินเข้ามาใกล้
“คราวก่อนเจี่ยงซานหลางยังบอกกับข้าว่าเจ้าขี้กลัวมาแต่เล็ก ไม่เคยกล้าชมบทเปี้ยนเหวินเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ เหตุใดวันนี้ทำใจแข็งกล้าชมขึ้นมาได้ล่ะ” ลิ่นเซี่ยวกล่าวพลางเดินเข้ามาแทรกฉวีชิ่นเหยาออกจากหลิงหลงอย่างแนบเนียน
ดวงตาของหลิงหลงยิ่งลึกล้ำกว่าเดิม มุมปากกระตุกเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น นางเอ่ยยิ้มๆ ขึ้นว่า “ดูท่าน้องอาเหยาคงเหมือนกับข้า หาโอกาสออกมาเดินเล่นได้ยากนัก ก็เลยไม่สนใจความกลัวแล้ว” พอหันกลับมาก็เห็นเสี่ยวเอ้อร์ทยอยยกจานอาหารว่างมาขึ้นโต๊ะ นางส่งเสียงทอดถอนใจก่อนเอ่ยชื่นชม “อาหารว่างโดดเด่นมีเอกลักษณ์เสียจริง เห็นเข้าข้าก็หิวอีกแล้ว น้องอาเหยา รีบมากินกันเถอะ”
ฉวีชิ่นเหยามีสีหน้าผ่อนคลายลง ยิ้มแย้มบางเบา เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ
ขณะกำลังกินอาหารว่าง เสี่ยวเอ้อร์ก็ยกกาสุราไห่ถังที่อุ่นเรียบร้อยแล้วมาขึ้นโต๊ะ อธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นี่คือสุราชื่อไห่ถัง หลงจู๊ของร้านเราเป็นผู้หมักเองกับมือ มีฤทธิ์อุ่นกำลังดี ไม่ทำให้เมามายโดยง่าย ต่อให้เป็นสตรีก็สามารถดื่มได้ คุณหนูทั้งสองลองชิมได้นะขอรับ”
แม้ว่าฉวีชิ่นเหยาจะแต่งกายเป็นนักพรตน้อย แต่เสี่ยวเอ้อร์ต้อนรับแขกเหรื่อมานานปี มีคนเช่นไรบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ตั้งแต่ตอนฉวีชิ่นเหยาเดินเข้ามา เขาก็มองออกแล้วว่านางคือสตรี
หลิงหลงปรบมือหัวเราะเสียงใส “ร้านของพวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ สุรานี้กลิ่นหอมหวน ตรงกับความชอบของข้าพอดี” นางรับกาสุรามาโดยไม่เอ่ยปฏิเสธ ช่วยรินสุราให้ลิ่นเซี่ยวและฉวีชิ่นเหยา ตามด้วยรินให้ตนเองจนเต็มปริ่มแล้วยกจอกสุราขึ้นพลางเอ่ย “พี่ชาย น้องอาเหยา ข้าตัวคนเดียวเพิ่งมาฉางอันครั้งแรก ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำตัวไม่เหมาะสม โชคดีที่พี่ชายดูแลเอาใจใส่ถึงไม่ก่อเรื่องน่าอับอาย วันนี้ได้พบหน้าน้องอาเหยาดั่งพบคนรู้จักมานาน ข้ารู้สึกยินดีจากใจ มา ข้าขอคารวะพวกเจ้าก่อนหนึ่งจอก”
นางเผยรอยยิ้มจริงใจ วาจาน่าเชื่อถือ ฉวีชิ่นเหยาหาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้เลย ขณะที่กำลังลำบากใจอยู่นั้น ข้างกายก็มีมือเรียวขาวหมดจดยื่นออกมารับจอกสุราไปพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “อาเหยาร่างกายอ่อนแอแต่เล็ก ไม่เหมาะจะดื่มสุรา ตกลงสุราจอกนี้ข้าจะดื่มแทนนางเองแล้วกัน”
ฉวีชิ่นเหยาหันไปมองลิ่นเซี่ยวอย่างตกตะลึง ใบหน้าหลิงหลงก็ชะงักค้างในพริบตา
ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศในห้องเงียบสงัดจนเข็มร่วงหล่นยังได้ยินเสียง