สีหน้าของหลิงหลงแปรเปลี่ยนสลับไปมา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่ชายคอยปกป้องน้องอาเหยาปานนี้ คนที่ไม่รู้ความจะนึกไปว่านางต่างหากที่เป็นญาติผู้น้องของท่าน” นางนิ่งเงียบไป เห็นว่าลิ่นเซี่ยวยังไม่แตะต้องจอกสุราของตนเองก็เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “จอกสุราของพี่ชายยังไม่ได้ดื่มเลยนะเจ้าคะ”
ลิ่นเซี่ยวยิ้มออกมาบางๆ จังหวะที่จะยกจอกสุราขึ้น นอกหน้าต่างก็มีเสียงดังปุ้งสนั่นหวั่นไหว กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับมีดาวตกนับไม่ถ้วนพาดผ่าน ชั่วอึดใจเดียวก็กลายเป็นแสงงดงามหลากสีสันกระจายออกมา ทั้งเหมือนจริงและคล้ายภาพลวงตาที่เจิดจ้าหาใดเปรียบ
“นั่นดอกไม้ไฟ…” ฉวีชิ่นเหยาอุทานอย่างตกตะลึง จูงมือหลิงหลงเดินมาที่หน้าต่าง
ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืนมีดอกไม้ไฟส่องสว่างพร่างพราวราวกับกลางวัน ผู้คนที่รายล้อมแท่นการแสดงต่างโดนทิวทัศน์งดงามตรงหน้าดึงความสนใจไป พวกเขาตกตะลึงพร้อมแหงนหน้ากวาดสายตามอง มีเพียงนักแสดงที่แต่งกายเป็นภูตผีไม่เสียสมาธิ ยังคงขับขานบทเพลงน้ำเสียงแผ่วเบาฟังไม่ได้ศัพท์ต่อ
“งดงามจริงๆ สมแล้วที่เป็นฉางอัน” ใบหน้าหลิงหลงที่ส่องสะท้อนโดดเด่นภายใต้แสงดอกไม้ไฟสีสันแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ประกายในดวงตาประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง ทำให้คนสังเกตสีหน้านางได้ไม่ชัดเจน
คนทั้งสองยืนชื่นชมตรงหน้าต่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง จนกระทั่งดอกไม้ไฟถูกจุดหมดแล้วถึงได้กลับมานั่งที่โต๊ะ
หลิงหลงเพิ่งจะนั่งลง มองปราดไปเห็นจอกสุราตรงหน้าลิ่นเซี่ยวว่างเปล่า ดวงตามีประกายร้อนแรงวูบหนึ่ง นางก็รีบยกกาสุราขึ้นช่วยรินให้เต็มจอกอีกครั้ง
ตอนออกมาฉวีชิ่นเหยาสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเนื้อบาง เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามดึกไปทุกขณะ สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านช่องหน้าต่างมากระทบ สัมผัสได้เพียงว่าความหนาวเย็นปกคลุมทั่วร่าง นางสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“รู้สึกหนาวหรือ” ลิ่นเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นในทันที
ฉวีชิ่นเหยารีบเหยียดหลังนั่งตัวตรงพลางส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่าในใจกลับร้องโอดครวญ ตอนนางออกจากอารามชิงอวิ๋นรีบร้อนเกินไป จึงสวมชุดตัวในมาเพียงสองชิ้น แม้กระทั่งเสื้อคลุมก็ลืมสวมมา เวลานี้จึงรู้สึกหนาวจนเกือบทนไม่ไหวอยู่บ้าง
ลิ่นเซี่ยวขยับลุกขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ลมช่วงดึกแรงนัก อีกสักพักกลัวว่าจะหนาวยิ่งกว่านี้ ชุดของเจ้าบางเกินไปแล้ว เช่นนี้จะทนได้อย่างไร เดี๋ยวข้าจะส่งเจ้ากลับจวน”
“เอ่อ…คือ…” ฉวีชิ่นเหยายิ้มอย่างลำบากใจ
สีหน้าของหลิงหลงย่ำแย่ลงทันใด นี่เพิ่งจะออกมาได้นานเพียงใดกันเชียว ละครร้องรำยังฟังไม่ทันจบ แค่เด็กสาวชื่ออาเหยามีท่าทีว่าหนาว แม้กระทั่งคลองคูเมืองก็ไม่ไปแล้วหรือ ในใจนางมีความเปรี้ยวคละคลุ้งแทบมีฟองผุดออกมา ลอบขบฟันกรอดซ้ำแล้วซ้ำอีก
กว่าจะกดข่มความเปรี้ยวฝาดในลำคอได้ไม่ง่ายเลย ดวงตาแฝงรอยยิ้มของนางมองไปทางฉวีชิ่นเหยาพลางเอ่ย “ข้าไม่เป็นไรหรอก กลัวก็แต่ว่าน้องอาเหยานานๆ จะได้ออกมาสักครั้ง จะยังไม่ทันเดินเล่นให้สมใจ เอาอย่างนี้สิ ตอนข้าออกมามีเสื้อคลุมติดมาด้วย อยู่ในรถม้านี่เอง ถ้าหากน้องอาเหยาไม่รังเกียจ ข้าจะให้สาวใช้ไปหยิบมา เจ้าก็สวมไว้ก่อน”
‘ยังอยากเดินเล่นต่อหรือไม่’ ลิ่นเซี่ยวขยับปากถามฉวีชิ่นเหยาโดยไร้เสียง และรอฟังความคิดเห็นของนาง
ฉวีชิ่นเหยาแอบมองข้อมือของหลิงหลง เปรียบเทียบกับตอนที่เห็นบนรถม้าแล้วเส้นสีทองตรงข้อมือกลับจางลงไปมาก ไม่เพ่งมองให้ดีก็มองไม่เห็น นางตกใจไม่น้อย เปลี่ยนความคิดของตนเองในพริบตา เอามือแตะหน้าผากแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณน้ำใจของพี่สาวมากเจ้าค่ะ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คงเป็นเพราะเมื่อครู่โดนลมเย็นเข้าแล้ว คงต้องกลับบ้านก่อน เอาไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสค่อยออกมาเที่ยวเล่นกับพี่สาวอีกครั้ง”
“เหตุใดจู่ๆ ถึงปวดหัวขึ้นมาได้ล่ะ จะต้องเรียกท่านหมอไปดูอาการที่จวนหรือไม่” ดวงตาหลิงหลงสว่างวาบขึ้นเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น แต่ฉวีชิ่นเหยาสังเกตเห็นอย่างชัดเจน เพียงชั่วพริบตาเดียวใบหน้าของหลิงหลงก็กลับมาแสดงความห่วงใยดังเดิม
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” ฉวีชิ่นเหยาส่ายหน้าปฏิเสธแล้วหันไปบอกลิ่นเซี่ยวว่า “ท่านพี่ซื่อจื่อ รบกวนท่านส่งข้ากลับจวนหลูกั๋วกงด้วยเถอะ”