ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 3
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า เรือนอี้จู่ที่ร้างไร้ผู้คนมานานปรากฏแสงโคมไฟวูบไหว เด็กสาวผู้หนึ่งวางโคมไฟลงบนโต๊ะ อาศัยแสงสลัวจากโคมไฟมองสำรวจไปรอบด้าน ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะด้วยความกระวนกระวาย
เขาจะมาหรือไม่นะ…
นางเฝ้ารอความเคลื่อนไหวภายนอกอย่างใจจดใจจ่อ ใส่ของสิ่งนั้นลงไปแล้ว ป่านนี้น่าจะออกฤทธิ์ได้เสียที ความจริงพรุ่งนี้ค่อยลองหยั่งเชิงเขาก็ได้ แต่นางรอมานานเหลือเกิน กว่าจะสบโอกาสลงมือไม่ใช่เรื่องง่าย จึงไม่อยากรอต่อไปอีกสักชั่วขณะเดียว
นางมีภาพที่วาดหวังไว้อย่างเลือนราง บุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาสง่างามเช่นนั้น ยามที่จิตใจเกิดความหวั่นไหวจะแสดงอาการเช่นไร จะคอยถามไถ่เอาใจใส่ดูแลเหมือนดังที่ปฏิบัติต่อสตรีอื่นวันนี้หรือไม่
พอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้แล้ว นางก็ขบกัดริมฝีปากล่างด้วยความขุ่นเคือง นางก็แค่ชาติกำเนิดต่ำต้อยไปบ้าง ถ้าหากกล่าวถึงรูปโฉม กล่าวถึงความสามารถ นางด้อยกว่าสตรีที่พบหน้าวันนี้ตรงที่ใดกัน เขาอาจจะหลีกเลี่ยงความข้องเกี่ยวกับท่านอาแต่ในนามของนาง ความบาดหมางก็เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน นางก็เป็นแค่ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดึงมาใช้เป็นหมากเท่านั้น แต่เขาช่างใจร้ายเสียจริง แม้กระทั่งมองก็ยังไม่ยอมมองนางเลย
เรื่องน่าขบขันที่สุดก็คือท่านอาแต่ในนามผู้นั้น ตนเองแต่งเข้ามาเป็นภรรยาใหม่ของผู้อื่นยังไม่พอ ต้องการจะผลักดันให้นางเป็นอนุภรรยาอีก ‘ท่านอ๋องพอใจเจ้ามาก แต่ว่าความหมายของเขาก็คือชาติกำเนิดของเจ้าต่ำต้อยไปสักนิด จะให้เป็นชายาซื่อจื่อคงไม่ได้หรอก’
แค่เพราะชาติกำเนิดต่ำต้อย ข้าก็เลยเป็นได้แค่อนุภรรยาที่ใช้รูปโฉมยั่วยวนบุรุษอย่างนั้นหรือ
นางหลุดหัวเราะ นางไม่เชื่อโชคชะตาเสียอย่าง และมีวิธีที่จะทำให้ซื่อจื่อมาหลงรักนาง เขาเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองถึงเพียงนั้น อายุยังน้อยก็มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการหน่วยอวี่หลิน ขอแค่เขายอมรับและตั้งใจว่าจะทำแล้ว เขาต้องมีวิธีแต่งนางเป็นภรรยาเอกแน่
ถึงตอนนั้น…นางเงยหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิ กวาดสายตาประเมินของตกแต่งล้ำค่าเต็มห้อง ตำแหน่งนายหญิงของวังหลันอ๋องจะต้องตกเป็นของนาง
ประตูเรือนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เสียงฝีเท้าดังขึ้นในลานเรือนอย่างกะทันหัน
มีคนเดินเข้ามาแล้ว?! หลิงหลงดวงตาเป็นประกาย
เป็นเขา! นางลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วก็นั่งลงไปอีก ยกมือขึ้นจัดจอนผมด้วยความประหม่า จากนั้นก็รีบร้อนตบรอยพับจีบบนกระโปรง รอจนกระทั่งมีคนผลักประตูเดินเข้ามา นางก็แสดงสีหน้าสับสนได้จังหวะพอเหมาะพอดี “พี่ชาย?”
คนที่เดินเข้ามาเป็นลิ่นเซี่ยวดังคาด แสงโคมไฟสีส้มอมเหลืองสาดส่องใบหน้าไร้ที่ติของเขา แม้กระทั่งสีหน้าเฉยชาเป็นนิตย์ก็อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
ชั่วขณะที่เขาสบตาหลิงหลงอย่างเงียบงัน ก็ก้าวเข้ามาหานางอย่างช้าๆ
แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างจากภาพที่หลิงหลงเฝ้ารอ ลิ่นเซี่ยวยังเดินมาไม่ถึงตรงหน้านางก็ชักกระบี่วางพาดลำคอนางอย่างฉับไวเสียก่อน
หลิงหลงไม่ทันได้ตั้งตัว รอยยิ้มอ่อนหวานนุ่มนวลชะงักค้าง “พี่ชาย นี่ท่านจะทำอะไรกัน”
“ไม่คิดว่าเจ้าอายุเท่านี้กลับรู้จักวิชามารชั่วช้าไม่น้อย ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไป” ลิ่นเซี่ยวมองสีหน้าหลิงหลงด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขายังประดับรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับสาดประกายเย็นเยียบบาดลึกถึงกระดูก
ตามด้วยเสียงเท้าดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบที่ลานด้านนอก
ความคิดของหลิงหลงยังแข็งค้างอยู่กับคำพูดของลิ่นเซี่ยว เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันทันใดทำให้จิตใจของนางยิ่งสับสนวุ่นวาย ข้างลำคอยังมีกระบี่วางพาด นางไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดช ทำได้เพียงฝืนกลอกตามองออกไปด้านนอก
ประตูเรือนเปิดกว้าง คนกลุ่มหนึ่งสวมเครื่องแบบองครักษ์วังอ๋องก้าวเข้ามา
คนที่เดินนำหน้าก็คือฉางหรง เขากับเว่ยปอช่วยกันยกสิ่งของบางอย่างที่มีผ้าม่านสีดำห่อหุ้ม เดินเข้ามาถึงตรงกลางห้อง แล้ววางลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง
จู่ๆ ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าเบาบางกระจายอยู่ในอากาศ
หัวใจหลิงหลงพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ความทรงจำบางส่วนที่นางจงใจลืมเลือนไปปรากฏในห้วงความคิดไม่หยุดหย่อน กลิ่นดินสีเข้มคละคลุ้งคาวเลือดไหลทะลักเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน นางกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว จับจ้องที่ผ้าผืนนั้นไม่ละสายตาเลยสักชั่วขณะเดียว
ลิ่นเซี่ยวไม่สนใจมองนางอีก กล่าวกับคนนอกประตูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงว่า “เจ้าก็เข้ามาเถอะ”
ทันทีที่กล่าวจบก็มีนักพรตน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา มือข้างซ้ายของนางถือห่อผ้า มือข้างขวาของนางหิ้วกรงขังหนูตัวหนึ่งเอาไว้ สายตาปรายมองไปทางหลิงหลงแวบเดียว ก็เดินตรงมาที่กลางห้องอย่างเชื่องช้า
หลิงหลงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องน่าตื่นตะลึงแล้ว ตอนนี้ประสาทของนางตึงเครียดถึงขีดสุด แต่นางก็สงบสติอารมณ์ลงได้
นางเร่งปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกชวนน่าสงสาร “น้องอาเหยา พี่ชาย ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
สตรีนางนี้เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ เลื่อนกระบี่ที่พาดคอนางออกอย่างเย็นชาแล้วสั่งให้ฉางหรงมัดตัวนางเอาไว้
เขามองออกไปที่ประตูเรือน รอคอยอย่างอดทน ไม่นานนอกเรือนก็มีเสียงเอะอะโวยวายลอยมาระลอกหนึ่งตามคาด สาวใช้และผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมหลันอ๋องที่ยังสะลึมสะลือไม่ตื่นดี รวมถึงชุยซื่อที่มีสีหน้าโกรธจัดเดินเข้ามาแล้ว
ฉวีชิ่นเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างลอบส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความประหลาดใจ วันนี้เห็นทีจะมีละครฉากใหญ่จริงๆ ด้วย เจ้านายของวังหลันอ๋องมากันพร้อมหน้าไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คนเดียว
โปรดติดตามตอนต่อไป