บุรุษสูงวัยยังจำวันแรกที่วีรากรพาเพื่อนร่วมคณะคนนี้กลับมาที่บ้านได้ดี อันที่จริงชายหนุ่มทั้งสองเคยเจอกันตั้งแต่ก่อนหน้านั้นทว่าไม่รู้จักกัน ตอนนั้นเขาเพิ่งเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยไม่นาน หนึ่งในงานที่รับเกี่ยวข้องกับแม่ของอาชวิน แม้วีรากรยังเป็นวัยรุ่นแต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ถ้าลูกชายว่างท่านก็มักพาไปทำงานด้วยเพื่อจะได้มีประสบการณ์ วีรากรกับอาชวินได้พบกันในครั้งนั้นเอง พอเจอกันอีกทีที่มหาวิทยาลัยอาชวินจำวีรากรได้เลยเข้ามาทัก ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
สำหรับทรงพลแล้วอาชวินเป็นเด็กอาภัพ แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ดูสมบูรณ์เพียบพร้อม ทว่าแท้จริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น อาชวินย้ายออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมศึกษาดีด้วยซ้ำ คอนโดฯ ของเขาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย บางทีวีรากรเลยไปค้างที่นั่น แต่ถ้าเป็นช่วงสุดสัปดาห์อาชวินมักจะติดสอยห้อยตามมาที่บ้านนี้ เป็นแบบนี้อยู่นานจนเรียกว่ากลายเป็นลูกชายของท่านไปอีกคน ถึงขั้นที่อีกฝ่ายเรียกท่านว่าพ่อแบบเต็มปากเต็มคำ ตอนอาชวินก่อตั้งบริษัทสถาปนิกก็ท่านนี่แหละที่ให้ยืมชื่อไปใส่เป็นผู้ถือหุ้นคนที่สามให้ครบตามที่กฎหมายกำหนด
พูดตามจริง ใจทรงพลห่วงอยากให้อาชวินเจอคู่ครองดีๆ มากกว่าที่ห่วงวีรากรเสียอีก ภรรยาของท่านป่วยและเสียชีวิตไปเร็ว วีรากรจึงกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนอาชวินนั้นพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่แต่ก็เหมือนกำพร้า ที่วีรากรไม่ยอมมีแฟนเสียทีเข้าใจว่าเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของเจ้าตัวเอง แต่ท่านเกรงว่าสำหรับอาชวินจะเป็นเหตุผลอื่นอย่างเช่นความล้มเหลวในด้านชีวิตสมรสของพ่อแม่ตัวเอง
จะว่าไป…หลังจากท่านทำงานให้พวกพร้อมพิพัฒน์ไม่นานก็มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวข้องกับปภาวรินท์ลอยมาตามลม ทว่าข่าวมีหลายกระแส บวกกับการที่ผู้เกี่ยวข้องล้วนเป็นลูกหลานคนมีหน้ามีตา ทำให้สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไป
แต่ว่า…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการที่อาชวินอยากได้งานของพวกพร้อมพิพัฒน์กระมัง
อาชวินมองแม่ผู้ให้กำเนิดด้วยแววตาว่างเปล่าดุจมองคนไม่รู้จัก พยายามนึกทบทวนว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอวิภาดาคือเมื่อไหร่แน่ อาจจะเป็นเมื่อสักสามสี่เดือนก่อน แต่เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจ ตอนนี้สมองของเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ ข้อมูลเกือบทั้งหมดที่มันส่งมาให้เขาในเวลานี้คืออาการปวดตุบๆ บริเวณศีรษะ นอกนั้นก็เป็นความจำที่ว่าแม่ของเขาบอกจะไปทำศัลยกรรมคางที่เกาหลีใต้ และถ้าดูจากใบหน้าของวิภาดาในตอนนี้ท่านก็คงไปทำมันแล้ว แถมน่าจะมีการศัลยกรรมอย่างอื่นอีกหลายอย่างด้วย
พูดก็พูด ถ้าเดินสวนกันเขาอาจจะจำแม่ตัวเองไม่ได้ก็ได้
“วิน ฟังที่แม่พูดบ้างไหมเนี่ย” วิภาดาพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจเพราะสังเกตเห็นว่าลูกชายคนเดียวทำท่าใจลอย ทั้งที่เมื่อครู่ตนเล่าเรื่องการไปล่องเรือยอชต์ที่ฝรั่งเศสกับเพื่อนให้ฟังเสียยืดยาว
“ขอโทษทีครับ ผมแฮงก์ เมื่อคืนผมดื่มกับเพื่อนเพลินไปหน่อย ไม่นึกว่าคุณแม่จะโทรมาชวนกินข้าวแบบนี้”
เมื่อคืนหลังจากทรงพลแยกตัวไปพักผ่อนแล้วเขาก็ยังนั่งชนแก้วกับวีรากรต่อจนดึก ส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่าวันนี้เป็นวันหยุดและเขาก็ว่าง โดยตั้งใจไว้ว่าจะนอนสักครึ่งค่อนวัน ใครจะไปนึกว่าจู่ๆ แม่จะโทรมาเรียกให้ออกมากินมื้อเที่ยงด้วยกัน แม้ใจจะอยากปฏิเสธ ทว่าจิตสำนึกก็เหนี่ยวรั้งไว้ว่าเขาไม่ได้เจอหน้าแม่มานานพอควรแล้ว ดังนั้นจึงแข็งใจฝืนลุกออกมา ที่น่าขำก็คือก่อนออกจากบ้านมาวีรากรถามว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม
หมอนั่นทำอย่างกับเขามาออกรบ แต่ก็นั่นแหละ…เพื่อนสนิทของเขารู้ลึกรู้จริง
“อ้อ” ท่าทางของผู้เป็นแม่อ่อนลงเล็กน้อย “แล้วนี่กินอะไรแก้แฮงก์ไปหรือยัง เอสเพรสโซสักชอตดีไหม”
“เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนออกมาแล้วครับ แต่ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ ผมถึงสั่งชาเขียวมาลองนี่ไง”
“อายุเริ่มเยอะแล้วก็แบบนี้แหละ นี่พูดจากประสบการณ์ตรงของแม่นะ”
อาชวินพยักหน้ารับ สำหรับเรื่องนี้ถ้าไม่เชื่อวิภาดาเขาก็ไม่รู้จะไปเชื่อใครได้อีก เพราะท่านได้ชื่อว่าเป็นสาวสังคมสายปาร์ตี้ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ขนาดที่ว่าคลอดเขาแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์ก็ออกไปปาร์ตี้แล้ว กระทั่งบัดนี้ท่านก็ยังไม่เปลี่ยน