ครั้นเห็นว่ารอบด้านไร้ซึ่งผู้คน นางก็ลองสลัดเชือกบนร่างออก ทีแรกคิดว่าจะต้องลงแรงมากมาย แต่มิคาดคิดว่าเชือกที่ดูเหมือนรัดแน่นยิ่งเส้นนี้ แค่กระชากเบาๆ ก็หลุดออกมาได้แล้ว…
นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ทว่าที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือนางแค่ผลักประตูห้องขังบานนี้เบาๆ ก็เปิดออกได้แล้ว?
เหยาเหนียงตะลึงลานไปแค่ชั่วขณะ จากนั้นก็รีบเร่งวิ่งหนีออกไป ทว่านางเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตูห้องขังได้เพียงก้าวเดียวก็มีบางสิ่งบางอย่างรัดขาของนางเอาไว้ ทำให้นางตกใจกลัวจนเหงื่อกาฬเย็นๆ แตกพลั่กไปทั่วสรรพางค์กาย แต่เมื่อก้มหน้าลงดูนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ที่แท้ก็แค่ถูกเชือกพันเอาไว้นี่เอง สงสัยเท้าคงจะเผลอเกี่ยวเข้ากระมัง นางแกะเชือกออกแล้วโยนทิ้งไปอีกด้านอย่างส่งๆ ก่อนหันกายหมายจะเดินจากไป ทว่านางกลับต้องตัวค้างแข็งไปอีกครา…
เชือกที่เห็นชัดๆ ว่าเมื่อครู่เพิ่งจะถูกโยนทิ้งไปอีกทางไม่รู้กลับมาพันขานางเอาไว้อีกครั้งได้อย่างไร
นางเพ่งจ้องอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยื่นมือไปแกะออกอย่างช้าๆ โยนออกไปไกลๆ แล้วก็จับตามองดู
เชือกเส้นนี้ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันคืบคลานกลับมาได้ด้วยตนเอง จากนั้นก็รัดขานางเอาไว้อีกครา ทำเอานางตกใจหวาดผวาจนแทบจะหวีดร้องออกมา โชคดีที่นางกลั้นเสียงเอาไว้ได้ทันกาล ถึงสามารถกลืนเสียงกรีดร้องลงท้องไปได้ และเคราะห์ดีที่ประสบการณ์หนีตายตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาได้ฝึกฝนให้นางมีความใจกล้ามากขึ้น จึงไม่ถึงกับตกใจเสียขวัญจนเป็นลมล้มพับไป
หลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้วนางก็สำรวจมองเชือกเส้นนี้อย่างละเอียดลออ พอแกะออกแล้วโยนทิ้งไป เชือกเส้นนั้นก็คืบคลานมาใหม่อย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ ก่อนจะพันแข้งพันขาของนางไว้
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ในที่สุดเหยาเหนียงก็รู้สึกเฉยชาหมดความรู้สึกใดๆ เชือกเส้นนี้นอกจากรัดพันนางแล้ว มันหาได้มีฟันมีปากไม่ ทำอันตรายนางมิได้แม้แต่น้อย แต่นางกลับรู้สึกแปลกใจยิ่งว่าเชือกเส้นนี้สามารถขยับเขยื้อนได้อย่างไรหนอ
“เอ๋? นางไม่กลัวอาคม?”
เหยาเหนียงตื่นตระหนกตกใจในทันใด ใครกำลังเอ่ยพูดกัน
“นางไม่กลัวเชือกสะกดมารด้วย”
“แปลกแท้ นางเป็นปีศาจอันใดกัน”
ห้องขังที่มืดสนิทค่อยๆ ปรากฏดวงตาที่ฉายประกายวาววับขึ้นมาหลายคู่ บ้างก็สีแดง บ้างก็สีน้ำเงิน บ้างก็สีเขียว ดวงตาเหล่านี้มีทั้งใหญ่มีทั้งเล็ก มีทั้งกลมมีทั้งเรียว ทั้งหมดล้วนกำลังจับจ้องมาที่นางทั้งสิ้น
ห้องขังมืดสนิทไม่เห็นดวงตะวันตลอดทั้งปี มีเพียงแสงเทียนอันแผ่วอ่อนที่วูบไหวอยู่ท่ามกลางความมืดมิด บริเวณที่แสงไฟสาดส่องไปไม่ถึงล้วนแต่ดำมืดจนไม่เห็นก้นบึ้งทั้งสิ้น ทว่าในยามนี้ดวงตาเหล่านั้นกลับลุกวาวขึ้นมาทีละดวงๆ ดุจดั่งดวงดาราในท้องนภายามราตรี
เหยาเหนียงมองดูดวงตาทั้งใหญ่ทั้งเล็กเหล่านี้ด้วยความแตกตื่นตกใจ ตระหนกเสียขวัญจนเหงื่อกาฬเย็นเยียบผุดชุ่มออกมาทั่วกายาอีกครา เสียงพูดคุยดังขึ้นตรงนู้นทีตรงนี้ที เป็นเสียงกระซิบในความมืดมิดที่ฟังดูราวกับอยู่ใกล้แต่ก็เหมือนอยู่ไกล
“ไม่ถูก นางเป็นมนุษย์ ข้าได้กลิ่นมนุษย์”
“ไม่ นางเป็นปีศาจ บนร่างของนางมีไอปีศาจอยู่”
“เฮอะ นางเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ มีทั้งกลิ่นมนุษย์และก็มีไอปีศาจด้วยเช่นกัน”
“หรือว่านางเป็นบุตรที่เกิดจากมนุษย์กับปีศาจ?”
“ชิ ครึ่งปีศาจก็เป็นปีศาจเช่นกัน ขอเพียงเป็นปีศาจ ก็จะถูกอาคมพันธนาการเอาไว้! แต่ดูเหมือนว่าอาคมจะใช้ไม่ได้ผลกับนาง น่าประหลาด น่าประหลาดแท้!”
เหยาเหนียงถูกจดจ้องจนขนลุกซู่ไปทั้งร่าง นางคิดแค่อยากจะรีบหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว แต่ดันติดที่เชือกอันน่าเกะกะเส้นนั้นไม่ยอมให้นางหนีไป ปลายข้างหนึ่งของมันรัดขานางไว้ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งก็พันกับประตูห้องขัง พยายามฉุดกระชากลากถูนางกลับเข้าไปในห้องขังอย่างสุดชีวิต
ด้วยอารามร้อนใจเหยาเหนียงจึงหยิบเชือกขึ้นมาเสีย จากนั้นก็ผูกเป็นเงื่อนตาย ก่อนจะโยนมันออกไปอีกด้าน แล้วรีบหนีออกไปจากสถานที่บัดซบแห่งนี้อย่างรีบร้อน
“ฮ่า นางไม่กลัวเชือกสะกดมาร?”
“หอผนึกมารก็ขังนางไม่อยู่?”
“นางเป็นเทพปีศาจมาจากแห่งหนใดกันแน่”
พวกปีศาจเริ่มส่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา ในจำนวนนั้นมีปีศาจตนหนึ่งพลันหัวเราะคิกคักออกมา
“นางเป็นปีศาจอันใดไม่สำคัญ ที่สำคัญคือนางหนีออกจากคุกไปแล้ว ข้าอดใจรอดูนักพรตจิ้นเสวียนโกรธจัดจนเต้นเร่าๆ ไม่ไหวแล้ว!”
ครั้นวาจานี้ถูกเปล่งออกมา ปีศาจทุกตนก็พากันหัวเราะหึๆ
บนโลกนี้มีปีศาจที่นักพรตจิ้นเสวียนขังไม่อยู่ด้วยรึนี่ ช่างสาแก่ใจปีศาจเหลือเกิน ทวงคืนศักดิ์ศรีให้เผ่าปีศาจได้อย่างใหญ่หลวงจริงๆ!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.