บทที่สอง
ตั้งแต่สำนักจี้อวิ๋นก่อตั้งมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ได้ผ่านความพยายามของอาจารย์เจ้าสำนักมาถึงสามรุ่น พอถึงปีนี้ก็ครบรอบหนึ่งร้อยปีแห่งการก่อตั้งสำนักพอดิบพอดี แต่ละสำนักในยุทธภพล้วนมีเอกลักษณ์อันเป็นจุดเด่นที่น่าภาคภูมิใจของตนเอง บ้างก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านยาพิษ บ้างก็มีชื่อเสียงในด้านวรยุทธ์วิชาลับ บ้างก็เป็นที่ลือชื่อในด้านมีศิษย์ผู้สืบทอดเป็นชายหญิงรูปงามเลอโฉม
สรุปแล้วก็คือสำนักวิชาที่มีที่ยืนในยุทธภพล้วนแต่มีไม้เด็ดที่สามารถงัดออกมาแสดงให้ผู้อื่นดูได้ และใช้สิ่งนี้ดึงลูกศิษย์ใหม่ๆ เข้าสำนัก สร้างชื่อเสียงและบารมีให้แผ่ไพศาลขจรขจายได้
เมื่อปีนั้นก่อนที่เจ้าสำนักจี้อวิ๋นคนก่อนจะถึงแก่กรรม เขาได้กุมมือจิ้นเสวียนเอาไว้ด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
‘ศิษย์รัก อาจารย์ขอมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด ต่อไปก็ขอฝากให้เจ้าจงนำพาสำนักให้ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ด้วยเถิด’
จิ้นเสวียนในฐานะที่เป็นศิษย์เอกสายตรงของเจ้าสำนัก เมื่อมาถึงรุ่นเขาก็เป็นรุ่นอักษรคำว่า ‘จิ้น’ พอดี มีชื่อพยางค์เดียวว่า ‘เสวียน’ เป็นฉายาทางธรรมที่อาจารย์เจ้าสำนักตั้งให้แก่เขา
เมื่อจิ้นเสวียนได้ยินถ้อยคำของอาจารย์ ใบหน้าเขาหาได้มีความแตกตื่นยินดีไม่ แต่กลับแสดงสีหน้าหนักอึ้งออกมา
‘อาจารย์ ในสำนักเหลือแค่ข้าเพียงคนเดียว จะให้สร้างความยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์อย่างไรกัน’
ที่เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักมิใช่เพราะเขามีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น และมิใช่เพราะผ่านการเลือกเฟ้นอย่างเข้มงวดกวดขัน แต่เป็นเพราะว่าไม่มีใครให้เลือกต่างหาก เนื่องจากอาจารย์มีเขาเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น พูดให้ไพเราะหน่อยก็คือมีผู้สืบทอดแค่เพียงสายเดียว พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือหาศิษย์ใหม่ๆ เข้าสำนักไม่ได้
‘เจ้าศิษย์โง่ ก็เพราะว่าเหลือเจ้าแค่คนเดียว เลยต้องให้เจ้านำพาสำนักให้ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์อย่างไรเล่า’
จิ้นเสวียนเอ่ยเตือนเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ‘อาจารย์ ข้าเพิ่งจะสิบเอ็ดขวบเองนะขอรับ’
ในยุทธภพมีเจ้าสำนักที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยหรือ
ทว่าสีหน้าของอาจารย์กลับเคร่งขรึมกว่าเขาเสียอีก ‘ศิษย์รัก เจ้าหาวิธีรับลูกศิษย์ที่อายุต่ำกว่าสิบเอ็ดขวบก็ได้นี่นา’
มีอาจารย์ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ด้วยหรือ
จิ้นเสวียนจดจ้องผู้เป็นอาจารย์ด้วยสายตาคมปลาบ ‘อาจารย์ ท่านใกล้จะตายจริงๆ หรือขอรับ’ ไฉนถึงสามารถคิดวิธีการบัดซบที่แม้กระทั่งคนตายก็ยังคิดไม่ออกเช่นนี้ได้ อาจารย์คงจะจงใจหลอกลวงเขากระมัง
‘ศิษย์เนรคุณ! เจ้าถามคำถามชั่วช้าอันใดของเจ้า ถ้าหากอาจารย์ไม่ได้ใกล้จะตาย แล้วเหตุใดต้องมอบภาระอันหนักอึ้งนี้ให้เจ้าด้วยเล่า’
‘เพราะว่าท่านกลัวสำนักจี้อวิ๋นจะล่มสลายในยุคของท่านมากกว่ากระมัง’
เข็มเดียวเห็นเลือด** จู่โจมตรงเข้าจุดสำคัญ
อาจารย์จ้องมองลูกศิษย์ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ตัดสินใจทุ่มไพ่หมดหน้าตัก
‘ถูกต้อง อาจารย์กลัวว่าเจ้าจะหนีไปน่ะสิ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาเปิดอกพูดกันให้ชัดๆ ไปเลย! เจ้าอยากจะหนีใช่หรือไม่’
แน่นอน สำนักที่ยากจนข้นแค้นกระทั่งไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ถ้าเขาไม่หนีแล้วจะให้เขาอยู่รอวันอดอยากตายหรือ
ตอนที่ตาเฒ่าลากตัวเขาเข้าสำนักเมื่อครั้งโน้นได้พูดกับเขาเสียสวยหรูว่าสำนักจี้อวิ๋นมีชื่อเสียงเลื่องระบือ ผู้คนได้ยินชื่อแล้วต่างก็ต้องหลีกห่างสามเซ่อ*** ปีศาจได้ยินแล้วก็ต้องขวัญหนีดีฝ่อ
ต่อมาจิ้นเสวียนถึงรู้ว่าที่ผู้คนต่างหวาดกลัวสำนักจี้อวิ๋น เพราะสำนักนี้ขับไล่ผีสางตามจับปีศาจโดยเฉพาะ มนุษย์ต่างก็กลัวภูตผี หวาดกลัวปีศาจ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดอยากจะเข้าร่วมสำนักนี้
แน่นอนว่าภูตผีปีศาจย่อมหวาดกลัวสำนักจี้อวิ๋น ภูตผีปีศาจตนใดเห็นนักพรตแล้วไม่ตกใจกลัวจนรีบหนีอุตลุดบ้างเล่า
เมื่อปีนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้แปดขวบ แม้จะตัวเล็กแต่กลับมีปณิธานยิ่งใหญ่ ได้ยินแล้วก็เกิดความเลื่อมใส จึงถูกวาจาไพเราะสวยหรูไม่กี่ประโยคของอาจารย์หลอกเข้าสำนักด้วยประการฉะนี้
หลังจากเข้ามาอยู่ในสำนักแล้ว เขาก็สงสัยว่าเหตุใดถึงไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ เลยเล่า แต่อาจารย์กลับตอบอย่างหยิ่งยโสว่าผู้ที่จะเข้าสำนักนี้ได้ หากมิใช่ยอดอัจฉริยะผู้มีคุณสมบัติที่จะบำเพ็ญเพียรจนเป็นเซียนได้ก็จะไม่รับเข้าสำนักเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นคนที่พิเศษกว่าใครๆ
ใครเล่าไม่วาดหวังให้ตนเองเป็นอัจฉริยะผู้เก่งกาจไม่เป็นสองรองใคร จิ้นเสวียนน้อยได้ยินแล้วก็ปลาบปลื้มยินดียิ่ง ไม่หวาดระแวงสงสัยใดๆ กลับยิ่งคึกคักตื่นเต้นมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
แต่ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากเข้าสำนักมาได้สามปี ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าตนเองถูกหลอกเสียแล้ว