สำนักจี้อวิ๋นยากจนข้นแค้นขึ้นทุกรุ่นๆ ไม่มีลูกศิษย์ก็ไม่มีรายได้ ไม่มีรายได้ก็เลี้ยงดูลูกศิษย์ไม่ได้ วงจรอุบาทว์เช่นนี้หากสำนักไม่ล่มสิถึงจะแปลก
แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้หนีก็โดนอาจารย์สังเกตเห็นแผนการของเขาเสียก่อน อาจารย์ถึงได้แกล้งป่วยหนักหลอกให้เขาตกปากรับคำ ดื้อรั้นดึงดันสุดชีวิตเพื่อจะให้เขาเอ่ยคำสาบานร้ายแรงว่าจะรับเผือกร้อนอย่างสำนักจี้อวิ๋นนี้ไป หาไม่แล้วขอให้นอนตายตาไม่หลับ
พูดกันตามจริงก็คือตาเฒ่าหน้าเหม็นนี่ไม่กล้าแบกความรับผิดชอบในฐานะที่ทำให้สำนักต้องล่มสลาย ต่อมาจิ้นเสวียนคาดเดาว่าแปดส่วนคงเป็นเพราะอาจารย์เองก็ถูกอาจารย์ของตนเองบังคับให้เอ่ยคำสาบานร้ายแรงออกมาเช่นกัน เพราะกลัวว่าหากผิดคำสาบานแล้วจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ จึงรีบร้อนยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขา หลังจากนั้นก็บีบบังคับให้เขาเอ่ยคำสาบานออกมาเช่นเดียวกันกับธรรมเนียมรุ่นก่อน
ในตอนนั้นอาจารย์หาได้ใกล้สิ้นชีวิตไม่ ทว่าผ่านไปถึงสามปีกว่าจะเสียชีวิตลงอย่างช้าๆ
เมื่ออาจารย์ตายไปแล้ว จิ้นเสวียนกลับมิกล้าผิดคำสาบาน ถึงอย่างไรเขาก็ร่ำเรียนวิชาเหมาซานมา ยังคงเชื่อถือในพลังการพันธนาการผีสางเทวดาอยู่ จึงมิกล้าฝ่าฝืนวิถีสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาทิ้งสำนักเอาไว้แล้วหนีไป ถ้าเกิดอาจารย์ตายตาไม่หลับแล้วกลายเป็นผีมาหลอกหลอนเขาล่ะก็ เช่นนั้นเขาควรจะขับไล่ผีหรือไม่ขับไล่ผีดีเล่า
ถ้าไม่ขับไล่ผีก็จะผิดต่อตนเอง แต่ขับไล่ผีก็เป็นการทำผิดต่ออาจารย์ อย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรยิ่ง
สุดท้ายเขาก็ยอมรับชะตากรรมรับช่วงสืบทอดสำนักต่อ กลายเป็นเจ้าสำนักที่มีคนอยู่แค่เพียงคนเดียวในสำนัก ต่อมาตอนอายุสิบสี่ก็ได้รับลูกศิษย์เข้ามาสองคน
ศิษย์คนโตเป็นขอทานตัวน้อยอายุแปดขวบที่เขาใช้อาหารหลอกล่อมา แค่บอกว่า ‘มีอาหารให้กิน มีที่ให้อยู่’ ก็ซื้อวิญญาณเขาเอาไว้ได้แล้ว จากนั้นก็ตั้งฉายาทางธรรมให้เขาว่า ‘จิ้งเฟิง’
ศิษย์คนรองเป็นหัวขโมยตัวน้อยอายุเจ็ดขวบที่มาชนตนเองเข้า กล้าขโมยเงินเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม ค่าตอบแทนที่ว่าก็คือถ้าไม่ยอมมาเป็นลูกศิษย์ของเขา ก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกของทางการ ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คำตอบนั้นเห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว ศิษย์คนรองเลือกอย่างแรก ต่อมาจึงได้ตั้งฉายาทางธรรมให้ว่า ‘จิ้งเหลย’
ในเมื่อทั้งสองขึ้นมาบนเรือโจรของเขาแล้วก็ต้องลงนามในสัญญาขายตัว ไม่จำเป็นต้องใช้แซ่เดียวกับเขาก็ได้ แต่ว่าจากนี้มีชีวิตอยู่ก็ถือเป็นลูกศิษย์ของเขา ตายไปก็เป็นลูกศิษย์ของเขา หยดโลหิตประทับตรา สัญญาสัมฤทธิผล!
จิ้นเสวียนหลอกมาแค่ลูกศิษย์ตัวน้อยสองคนนี้เท่านั้น ถ้ามากกว่านี้คงจะเลี้ยงไม่ไหว
อาจารย์ของเขาพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง จิ้นเสวียนนั้นมีพรสวรรค์จริงๆ สมองของเขาฉลาดปราดเปรื่อง มีความคิดต่างๆ เยอะแยะ ไม่ว่าร่ำเรียนศาสตร์ใดก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วยิ่ง สามารถพลิกแพลงวิชาความรู้ได้มากมาย
หากจะนำพาให้สำนักเจริญรุ่งเรืองได้ อันดับแรกก็ต้องเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อน ถ้าไม่มีเงินท้องก็หิว ทำเรื่องอันใดก็ไม่สำเร็จลุล่วง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มเสาะหาวิธีหาเงินทองเสียก่อน
พอมีชื่อเสียงก็จะมีเงินทอง แม้นสำนักวิชาต้องคอยบริหารดูแล ทว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญยิ่งกว่า ต้องสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังถึงจะดึงดูดให้ผู้คนถือเงินมามอบให้ถึงที่ได้
แปดปีผ่านไปเขาเติบโตจากเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีกลายเป็นบุรุษผู้องอาจสง่างามวัยยี่สิบสองปี
เขารูปลักษณ์หล่อเหลางามสง่า เข้าใจหลักการที่ว่าพระต้องมีทองหุ้ม คนต้องมีเสื้อผ้าเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ชุดคลุมตัวหลวมโพรกที่นักพรตสำนักอื่นสวมใส่ ที่สำนักของเขากลับเปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวทะมัดทะแมง ช่วงบนแขนเสื้อแคบ สาบเสื้อทับไปทางซ้าย ผูกผ้าคาดเอว ทั้งคล่องแคล่วและดูอาจหาญ เมื่อเดินออกไปยืนข้างนอกดูมีลักษณะท่าทางเหมือนกับจอมยุทธ์ในยุทธภพมากทีเดียว
บนหลังของเขาสะพายกระบี่เอาไว้หนึ่งเล่ม ตั้งชื่อให้อย่างน่าเกรงขามว่า…กระบี่สยบมาร
เขาบอกกล่าวกับคนนอกว่ากระบี่สยบมารเล่มนี้เป็นสมบัติตกทอดมาจากปรมาจารย์แต่ละรุ่น สามารถสังหารปีศาจขจัดมารร้ายได้ มีพลังน่าครั่นคร้ามยำเกรง หากได้ออกจากฝักเมื่อใดเป็นอันต้องได้เห็นโลหิตทุกคราไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว กระบี่เล่มนี้เขาซื้อมาจากช่างตีเหล็กที่ตลาดในราคาถูก จ่ายไปแค่เพียงห้าสิบอีแปะ เท่านั้น ชื่อกระบี่สยบมารเขาเป็นคนตั้งเอง เรื่องเล่าเขาก็เป็นคนแต่งเอง ไม่ได้มีเหตุผลอันใดเป็นพิเศษ ก็แค่เพื่อหลอกตบตาผู้อื่นเท่านั้น