เมื่อทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชื่อเสียงเรียงนามของนักพรตจิ้นเสวียนผู้หนุ่มแน่นอาจหาญก็ค่อยๆ ขจรขจายไปในหมู่ชาวบ้าน จนในที่สุดสำนักจี้อวิ๋นก็มีลูกศิษย์รุ่นใหม่
ในที่สุดจิ้นเสวียนก็มิใช่เจ้าสำนักที่มีลูกศิษย์แค่เพียงสองคนอีกต่อไป ลูกศิษย์ที่ถูกหลอกเข้าสำนักอย่างจิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยทั้งสองคนในที่สุดก็ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองเช่นเดียวกัน บัดนี้สำนักจี้อวิ๋นถึงได้ดูเหมือนสำนักวิชากับเขาเสียที
แต่ทว่าในยามนี้เวลานี้หอผนึกมารซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหอคอยที่ใช้กักขังภูตผีปีศาจของสำนักจี้อวิ๋นกลับมีปีศาจจิ้งจอกสาวหลบหนีออกไปได้ หากเรื่องนี้แพร่ลือออกไป ไม่เพียงแต่จิ้นเสวียนจะชื่อเสียงย่อยยับป่นปี้ สำนักจี้อวิ๋นซึ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างยากลำบากก็จะถูกผู้คนดูหมิ่นดูแคลน ยิ่งไปกว่านั้นแผนการสร้างความรุ่งเรืองให้สำนักของเขาก็จะพังไม่เป็นท่าเช่นเดียวกัน
จิ้นเสวียนจ้องมองยันต์ที่ฉีกขาดบนประตูห้องขัง สีหน้าของเขาย่ำแย่เป็นอย่างมาก นางปีศาจหนีออกไปนานถึงสามวันแล้วกว่าพวกเขาจะรู้เรื่อง
สีหน้าแววตาของเขาอึมครึมขุ่นมัว ทั่วทั้งกายาปกคลุมด้วยไอหนาวยะเยือก จิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังก็มีสีหน้าหนักอึ้งเช่นกัน พวกเขาติดตามอาจารย์มาตั้งแต่ตอนที่ยากจนข้นแค้นไม่มีแม้แต่ข้าวสารกรอกหม้อ หยาดเหงื่อแรงกายและความพยายามที่อาจารย์ทุ่มเทลงไปนั้นยากลำบากเพียงใด พวกเขารู้ดีแก่ใจที่สุด
หอผนึกมารสามารถยับยั้งพลังปีศาจได้ นอกจากนั้นบริเวณโดยรอบยังวางค่ายกลเก้าวงแหวนเอาไว้ ค่ายกลวางติดต่อกันด่านแล้วด่านเล่า ทุกด่านเชื่อมต่อกัน จนถึงบัดนี้ยังไม่มีปีศาจตนใดสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ นี่เป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นแรกนับตั้งแต่อาจารย์เริ่มออกท่องยุทธภพมา แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับถูกปีศาจจิ้งจอกสาวตนหนึ่งทำลายลงได้
หลังจากจิ้นเสวียนนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง
“เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของอาจารย์เอง อาจารย์ประเมินนางปีศาจตนนั้นต่ำไป คิดไม่ถึงว่านางจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทำลายค่ายกลได้ด้วยเวลาเพียงแค่สามวัน”
จิ้งเฟิงเอ่ยแก้ไขด้วยความปรารถนาดี “ไม่ใช่ขอรับ อาจารย์ พวกปีศาจบอกว่านางปีศาจตนนั้นทำลายค่ายกลในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น”
จิ้งเหลยสังเกตเห็นว่าไอเย็นชาบนร่างของผู้เป็นอาจารย์เย็นเยียบลงอย่างฉับพลันหลายส่วน จึงเอ่ยร้องในใจว่าแย่แล้ว ก่อนจะเอ่ยรับต่อว่า “คำพูดของปีศาจถือเป็นจริงเป็นจังได้ที่ใดกัน คงจะมีคนเล่นงานใจกลางค่ายกล ทำลายค่ายกลจากข้างนอกเป็นแน่ นางปีศาจตนนั้นถึงสบโอกาสหนีไปได้” เจ้าโง่! อาจารย์เป็นคนวางค่ายกลด้วยตนเอง เรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้พูดออกมาได้ที่ไหนกันเล่า
จิ้งเฟิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ ถ้าหากค่ายกลสิ้นฤทธิ์ ป่านนี้พวกปีศาจคงหนีกันไปหมดแล้วสิ ไหนเลยจะอยู่รอให้พวกเรามาสอบสวนได้เล่า”
หางตาของจิ้งเหลยกระตุกเล็กน้อย มองศิษย์พี่ใหญ่เงียบๆ
จิ้นเสวียนพลันหัวเราะเสียงเย็น “หอผนึกมารคุมขังปีศาจเอาไว้ไม่อยู่ ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ลือออกไป ต่อไปใครจะมาขอให้พวกเราไปปราบปีศาจอีกเล่า เกรงว่าคงต้องกินน้ำเย็นประทังหิวอีกแล้วกระมัง”
พอทั้งสองคนได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งเฮือก จิ้งเฟิงรีบเปลี่ยนคำพูดในทันใด “อาจารย์ ศิษย์ว่าคงจะมีคนเล่นงานใจกลางค่ายกลเป็นแน่เลยขอรับ ถึงได้ทำให้ค่ายกลมีช่องโหว่ ทำให้นางปีศาจตนนั้นหนีไปได้ เรื่องนี้จะต้องเก็บเป็นความลับแล้วดำเนินการตรวจสอบอย่างลับๆ ถึงจะถูกขอรับ”
ในที่สุดก็เริ่มมีสมองได้เสียที จิ้นเสวียนกับจิ้งเหลยต่างปรายตามองเขาด้วยความชื่นชม
จิ้นเสวียนพยักหน้า “ถูกต้องตามนั้น พวกเจ้าทั้งสองจงถ่ายทอดคำสั่งลงไป นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ห้ามลูกศิษย์ทุกคนเข้าใกล้หอผนึกมารเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งจะต้องถูกขับไล่ออกจากสำนัก”
“ขอรับ อาจารย์”
“จิ้งเหลย ตามข้ามา” จิ้นเสวียนทิ้งวาจาเอาไว้หนึ่งประโยคแล้วหันกายเดินออกจากหอคอยไป
จิ้งเหลยเดินตามไล่หลังเขาไปติดๆ
“อาจารย์ ตอนนี้ควรทำอย่างไรดีเล่าขอรับ” จิ้งเหลยเอ่ยถามเสียงเบา ยามนี้รอบด้านไร้ผู้คน อาจารย์เรียกให้เขาตามมา แสดงว่าคงมีเรื่องจะกำชับสั่งเขาแน่นอน
“เชือกสะกดมารหายไป คงจะไล่ตามนางปีศาจตนนั้นไปแน่ๆ”
“อาจารย์มีวิธีแกะรอยตามนางปีศาจหรือขอรับ”
จิ้นเสวียนพลันยกยิ้ม ศิษย์คนรองหัวไวฉลาดเฉลียว มิได้หัวทื่อเหมือนกับศิษย์คนโต แค่ชี้แนะประโยคเดียวก็เข้าใจความนัยที่แอบแฝงอยู่ได้แล้ว
“ถูกต้อง ข้ามีวิธีจับตัวนางปีศาจกลับมา ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าคอยเฝ้าที่นี่เอาไว้ให้ดี”