จิ้งเหลยฉลาดปราดเปรื่อง จัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีไหวพริบ มีอีกฝ่ายอยู่ที่นี่จิ้นเสวียนก็สามารถออกไปจากสำนักได้อย่างวางใจ คราวนี้หลังจากที่นางปีศาจหนีไป จิ้งเหลยก็กันลูกศิษย์คนอื่นๆ ออกไปตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องให้เขาออกปากสั่ง ไม่ปล่อยให้ข่าวรั่วไหลออกไปภายนอก ปิดหูปิดตาผู้อื่นได้อย่างมิดชิด
“อาจารย์โปรดวางใจ เรื่องนี้หนักหนาใหญ่หลวง ศิษย์รู้จักหนักเบาดีขอรับ”
จิ้นเสวียนพยักหน้า “ไปเถิด”
พอจิ้งเหลยออกไปแล้ว จิ้นเสวียนก็เดินเข้าไปในเรือนตามลำพัง ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เอาไว้เปิดแท่นทำพิธีร่ายคาถาอาคมโดยเฉพาะ
เขาหยิบกล่องสีดำบนแท่นขึ้นมา จากนั้นเปิดฝาออก ด้านในมีเชือกอีกเส้นหนึ่งวางอยู่ เชือกเส้นนี้เป็นสีดำ ลักษณะแตกต่างจากเชือกปราบมารสีแดง มันเส้นใหญ่ยิ่งกว่าและมีความยาวมากกว่า
จิ้นเสวียนหยิบพู่กันออกมา แตะโลหิตสุนัขดำ วาดอักขระลงบนยันต์ เผาไฟจนไหม้เป็นเถ้าธุลี ครั้นแล้วก็โปรยเศษขี้เถ้าลงบนเชือกสีดำ จากนั้นก็ส่งเสียงคำรามร้องหนึ่งคำรบ
“ลุก!”
เชือกสีดำซึ่งเดิมทีนอนอยู่ในกล่องยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
จิ้นเสวียนพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำลึก “ลุกขึ้นมา เลิกแกล้งตายได้แล้ว”
เชือกดำแน่นิ่งไม่กระดิกกระเดี้ย ยังคงนอนตายอยู่ในกล่องสีดำต่อไป
จิ้นเสวียนฉุนจนหัวเราะออกมา อาวุธเวทของสำนักจี้อวิ๋นแต่ละชิ้นช่างนิสัยเอาแต่ใจเสียจริงๆ ในบรรดาอาวุธทั้งหลายก็มีแหสยบมารปากนี้นี่แลที่เอาแต่ใจตนเองเป็นที่สุด
“ไม่ลุกรึ ได้ ภรรยาเจ้าหนีตามคนอื่นไปแล้ว เจ้าไม่อยากไปตามกลับมาก็เรื่องของเจ้า”
ครั้นวาจานี้โพล่งออกมา แหสีดำซึ่งเดิมนอนแน่นิ่งอยู่ก็ลุกพึ่บขึ้นมาราวกับฉีดเลือดไก่เข้าไป ลักษณะของมันดูคล้ายกับลำตัวงู กำลังขยับตัวยุกยิกด้วยความเกรี้ยวโกรธ
“นางหนีตามนางปีศาจไปแล้ว ถ้าไม่อยากเห็นนางถูกนางปีศาจตัดสะบั้นก็รีบตามไปเร็วๆ เข้า!”
ปลายด้านบนของแหสยบมารพองขยายขึ้นอย่างฉับพลันจนดูเหมือนกับงูเห่า มันกระโดดลงจากแท่นพิธี จากนั้นก็พุ่งออกนอกประตูไป จิ้นเสวียนแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วทะยานร่างไล่ตามไป
เดิมทีเหยาเหนียงเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ นางรูปโฉมงดงามเฉิดฉัน อุปนิสัยสุภาพนุ่มนวล ยามออกไปนอกจวนมักจะมีสาวใช้และแม่นมคอยติดตามไปด้วยเสมอ ในปีที่ได้รู้จักกับสามีนางเพิ่งจะอายุครบสิบห้าปีเต็มเท่านั้น ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มยากจนคนหนึ่ง หนึ่งไม่มีตำแหน่งฐานะใดๆ สองไม่มีทรัพย์สินไม่มีอำนาจ เดิมทีทั้งสองคนไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องอันใดกันได้ แต่เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนครั้งหนึ่งทำให้ก่อเกิดวาสนาต่อกันขึ้นมา
เขากอดนางกระโดดลงจากรถม้าที่สูญเสียการควบคุม ร่วงลงพื้นกลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบ นอกจากตกใจเสียขวัญแล้ว บนร่างนางหาได้มีบาดแผลแม้แต่เศษเสี้ยว แต่ว่าเขานั้นมิใช่ เขาใช้กายเนื้อคุ้มกันนางเอาไว้ ก้อนหินแหลมคมและหนามตามพุ่มไม้ขีดข่วนผิวจนถลอกปอกเปิก ขูดจนทั่วสรรพางค์กายของเขาชุ่มโชกไปด้วยโลหิต บาดแผลเหวอะหวะ
เขาช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่กลับไม่ปริปากพูดอันใดแม้แต่คำเดียว หลังจากแม่นมกับสาวใช้ประคองนางขึ้นมาแล้ว เขาก็หลบถอยไปอย่างเงียบๆ รีบไปตามอาชาที่หนีเตลิดกลับมาโดยไม่สนใจบาดแผลบนหลังของตนเอง
เพราะว่าเหตุการณ์ในครานี้นางจึงจดจำเขาได้นับตั้งแต่บัดนั้น เขาคือบุตรชายของลุงเหลียงที่เป็นคนเลี้ยงม้า
ในห้องโถงท่านพ่อเดือดดาลจนมิอาจระงับโทสะได้ ส่วนลุงเหลียงคนเลี้ยงม้านั้นคุกเข่าอยู่กับพื้น เดิมทีเด็กหนุ่มควรจะต้องถูกลงโทษ ทว่าเหยาเหนียงกลับร้องขอความเมตตาจากบิดาอย่างสุดความสามารถ สุดท้ายก็ใช้คุณงามความชอบหักล้างกับความผิด จัดการเรื่องนี้จนจบไปได้ในที่สุด
นับตั้งแต่นั้นมาในสายตาของเด็กหนุ่มก็มีนางอยู่เช่นกัน ในใจของคนทั้งสองต่างก็มีเมล็ดพันธุ์แห่งรักค่อยๆ แตกหน่อขึ้นมา
พวกเขารักกัน แต่ว่าไม่เหมาะสมคู่ควรกัน นี่เป็นความรักที่ถูกลิขิตมิให้ได้รับคำอวยพรยินดีใดๆ