เหยาเหนียงตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง จ้องมองเขาอย่างอึ้งงัน แววดูถูกเหยียดหยามในดวงตาของชายหนุ่มเสียดแทงสายตาของนางยิ่งนัก และทำให้นางสงบนิ่งเยือกเย็นขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา
ประตูห้องถูกเปิดออก เสียงร้องเรียกอย่างขันแข็งของเสี่ยวเอ้อร์ดังลอยเข้ามา
“ให้ท่านลูกค้าต้องรอนานแล้ว นี่คือสุราอาหารที่อร่อยที่สุดของร้านเรา…” เสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยกถาดอาหารเข้ามาชะงักค้างไป จ้องมองคนทั้งสองที่อยู่บนพื้นอย่างอึ้งๆ
บุรุษอยู่บน สตรีอยู่ล่าง สีหน้าแววตาเช่นนั้น ท่าทางเช่นนั้น บรรยากาศวาบหวามเช่นนั้น…ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เห็นว่าพวกเขากำลังระงับอารมณ์อันพลุ่งพล่านเอาไว้ไม่อยู่ ลูกธนูขึ้นสายพร้อมจะง้างยิงออกไปแล้ว
จิ้นเสวียนส่งเสียงตวาด “ข้านักพรตกำลังกำราบนางปีศาจจิ้งจอกตนนี้อยู่ ออกไปเสีย!”
“ขอรับๆ ผู้น้อยจะออกไปเดี๋ยวนี้ ทะ…ท่านเชิญทำธุระต่อเถิดขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูดพลางล่าถอยออกมา ตอนเดินออกไปยังไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย
จิ้นเสวียนหารู้ไม่ว่าวาจาประโยคนี้ของเขา กอปรกับการกระทำของเขา ทำให้เรื่องฉาวโฉ่นี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วนับตั้งแต่บัดนั้น ทุกคราที่ย้อนนึกถึงความหุนหันพลันแล่นในยามนี้ เขาล้วนนึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก
เมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนี้ ยามเขาหันหน้ากลับมาก็พบว่าหางของนางปีศาจจิ้งจอกได้หายไปแล้ว ทว่าสำหรับเขาแล้วนี่มิได้เป็นอุปสรรคในการจัดการนาง อีกทั้งยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอกจริงๆ อีกด้วย
เนื่องจากอาวุธเวทไม่สามารถกักขังนางเอาไว้ได้ จิ้นเสวียนจึงไม่มีตัวเลือกอื่น เขาทำได้เพียงใช้วิธีที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด นั่นก็คือสกัดจุดนาง จากนั้นก็แบกตัวนางไป
ในวันนี้ที่เขามาจับปีศาจอากาศสดชื่นแจ่มใส แม้กิจการของโรงเตี๊ยมคึกคักกว่าทุกที แต่ยามเขาแบกสตรีผู้หนึ่งเดินลงมาพร้อมกับรอยนิ้วมือบนใบหน้า ห้องโถงใหญ่กลับเงียบกริบลงในชั่วพริบตา
“นางปีศาจจิ้งจอกตนนี้ ข้านักพรตขอพาตัวไปก่อน” เขาเอ่ยกับหลงจู๊
ทุกคนเห็นว่านางปีศาจจิ้งจอกไม่มีหาง ทั้งยังไม่มีกรงเล็บ นางสวมชุดเรียบง่ายธรรมดาๆ หน้าตาดูเหมือนสตรีในห้องหอทั่วไป ขอบตาแดงก่ำชุ่มน้ำ ราวกับภรรยาตัวน้อยที่ได้รับความคับอกคับใจ
หลังจากพวกเขาเดินออกไปแล้ว ชาวบ้านก็พูดเรื่องที่ได้เห็นมากับตาตนเองอย่างออกรสออกชาติ
ตามคำบอกเล่าอย่างสมจริงสมจังของเสี่ยวเอ้อร์ในตอนนั้น ได้ยินว่าสตรีผู้นี้รูปโฉมงามเฉิดฉัน นุ่มนวลอ่อนโยนตราตรึงใจคน ปรมาจารย์จิ้นเสวียนจึงมิอาจห้ามใจได้ไหว พลันกดคนงามลงกับพื้น บอกว่าจะกำราบนางปีศาจจิ้งจอกตนนี้
แต่ก็มีคนบอกว่าสตรีผู้นี้เกล้ามวยผมเหมือนอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้ว คงจะเป็นภรรยาแต่งของปรมาจารย์จิ้นเสวียนแน่นอน แต่ว่าสามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้งกัน ภรรยาโกรธเกรี้ยวจนหนีออกมาจากบ้าน ปรมาจารย์จิ้นเสวียนจึงรีบร้อนไล่ตามมา รีบแบกตัวนางกลับไปทันที
ยังมีเจ้าหน้าที่ทางการอีกสองคนเป็นพยานว่าในตอนนั้นปรมาจารย์จิ้นเสวียนได้วิ่งไล่ตามสตรีผู้นี้มาจริงๆ อีกทั้งในคำพูดคำจาก็ยังมีความโอบอ้อมอารีและปกป้องนางอย่างเปี่ยมล้น
นับตั้งแต่นั้นมาผู้คนก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าที่ปรมาจารย์จิ้นเสวียนมิเข้าใกล้อิสตรีมาเนิ่นนาน ซ้ำยังปฏิเสธมิให้แม่สื่อแวะมาเจรจาเรื่องสู่ขอ ที่แท้เป็นเพราะเขามีภรรยาอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
จิ้นเสวียนไม่รู้ว่าคำว่ากำราบนางปีศาจจิ้งจอกประโยคนี้ เมื่อบุรุษได้ยินแล้วก่อให้เกิดภาพกำกวมมากมายเพียงใด กลับกลายเป็นเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง
เขาพาเหยาเหนียงกลับมาที่สำนักจี้อวิ๋น แต่เนื่องจากหอผนึกมารกักขังนางเอาไว้ไม่อยู่ มิหนำซ้ำอาวุธเวทก็ยังไร้ผลกับนาง จึงทำได้เพียงขังนางเอาไว้ในเรือนหลังหนึ่ง กักบริเวณนางเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว
อาจารย์พาสตรีผู้หนึ่งกลับมา เรื่องนี้ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักตื่นตะลึงมิวางวาย มีบางคนเพิ่งกลับขึ้นเขามาจึงนำข่าวซุบซิบนินทากลับมาด้วย ที่แท้สตรีที่อาจารย์พากลับมาก็คืออาจารย์หญิงของพวกเขา มิน่าอาจารย์จึงได้สั่งให้คนเก็บกวาดเรือนเล็กเป็นพิเศษ แท้ที่จริงแล้วก็เพื่อหาที่หาทางให้อาจารย์หญิงอยู่นั่นเอง นอกจากนั้นยังสั่งให้ศิษย์พี่ใหญ่คอยอยู่เฝ้าอารักขาที่นอกเรือนด้วยกลัวว่าอาจารย์หญิงจะหนีไปอีก
พวกลูกศิษย์คนอื่นๆ เข้าสำนักมาทีหลัง ไม่ค่อยรู้เรื่องราวของอาจารย์มากนัก จึงย่อมไม่มีข้อสงสัยเป็นอื่น แต่ว่าจิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยสองคนถูกจิ้นเสวียนหลอกล่อเข้าสำนักมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ติดตามเขามานานหลายปี จึงรู้ชัดเจนดีว่าอาจารย์ของพวกเขายังเป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เลย กระทั่งไปหาสตรีที่หอนางโลมก็ยังไม่ยอม แล้วจะแต่งภรรยาได้อย่างไร
ตอนแรกที่อาจารย์จับสตรีผู้นี้กลับมามีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้เห็นรูปโฉมของสตรีผู้นี้และรู้ว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอก แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์จับนางกลับมาคราวนี้ถึงมีข่าวลือเช่นนั้นแพร่ออกไปได้