เขาออกปากเชิญนางกลับ นางที่ยืนเซ่อเชื่อฟังอย่างว่าง่าย หันหน้าไปอย่างอึ้งงันและสาวเท้าเดินอย่างแข็งทื่อไปทางประตู เพียงแต่ทุกก้าวที่ย่างออกไป หน้าอกซ้ายก็เหมือนถูกมีดทิ่มแทงคราหนึ่ง ในใจเจ็บปวดดุจถูกมีดกรีดเฉือนซ้ำๆ
เขาใช้น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจสอบถาม เกือบจะเรียกว่า ‘อ้อนวอน’ เขาสมควร…จะมีใจให้นาง ทว่าไม่กล้าพูดออกมาอย่างมั่นใจหรือชอบด้วยเหตุผล ได้เพียงเลียบๆ เคียงๆ ถามเช่นนี้ และเลือกมอบอำนาจตัดสินใจสู่มือนาง
หากควักหัวใจออกมาถามตนเองได้ นางควรค่าให้เขาชมชอบให้ความสำคัญเพียงนี้ที่ใดกัน
นางทั้งไม่อ่อนโยนและไม่พราวเสน่ห์ รูปโฉมโนมพรรณก็ไม่โดดเด่นอะไร ทักษะเพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร วาดภาพ เย็บปัก ทำอาหาร ไม่มีแขนงใดที่นางมีฝีมือพอจะอวดอ้างได้เลย มีแค่ทักษะการสังหารคนที่เป็นจุดแข็งอย่างเดียวของนาง
นางมีนิสัยที่ไม่น่าคบหา ทั้งน่าเบื่อและยังแข็งกระด้าง ใบหน้ายังขาดอารมณ์ความรู้สึกใด รู้จักแต่ตีหน้านิ่งเป็นท่อนไม้ นางไม่ชอบยิ้ม ไม่ปากหวาน หนำซ้ำยังแข็งกร้าวและเย็นชา นางอาศัยอะไรได้รับความชอบจากเขา
แต่เขากลับมายิ้มให้นาง เข้ามาใกล้ชิดนาง เรียกร้องการตอบสนองจากนางอยู่ร่ำไป
ทำเช่นไรดี คืนนี้หากจากไป ก้าวออกจากหอซือเฟยแห่งนี้โดยไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับ ระหว่างนางกับเขาก็จะไม่มีปฏิสัมพันธ์อันดีกันอีกแล้วใช่หรือไม่
เวลาเพียงชั่วอึดใจนี้ สีหน้าและท่าทีหลุบตาเย้ยหยันตนเองของเขาพลันผุดขึ้นอย่างแจ่มชัดในสมองนาง ท่าทีคล้ายไม่อินังขังขอบ ทว่าแท้จริงกลับเจ็บช้ำใจยิ่งนัก
เป็นนางที่ทำร้ายเขา
นางไม่อยากทำให้เขารู้สึกแย่อย่างแน่นอน จนใจด้วยความคิดสับสน ความรู้สึกช้า จึงหมดหนทางเยียวยาอย่างแท้จริง
กระนั้น…หมดหนทางเยียวยาจริงๆ น่ะหรือ
เรือนร่างที่ก้าวไปถึงประตูชะงักกึก นางราวกับถูกน้ำนมชั้นยอดรดศีรษะ ความรู้สึกร้อนระอุชาหนึบแล่นผ่านกระดูกสันหลัง สองมือของนางกำเข้าหากันเป็นหมัดโดยแรง ก่อนจะสะบัดหน้าและหันกายเดินย้อนกลับทันที
เมื่อเห็นนางย่างสามขุมเข้ามาหาตน ฉินชิวอดกลั้นหายใจมองตาค้างไม่ได้ ความสงสัยยังไม่ทันแผ่ลามไปเท่าใด เงาดำที่เกิดจากนางปราดมาเบื้องหน้าเขาก็ครอบคลุมเขาเอาไว้แล้ว
จากนั้นนางก็ใช้สามนิ้วเชิดคางคมสันของเขาขึ้น
เขาเงยหน้ามาสบดวงตานางด้วยใบหน้าตะลึงงันอย่างผู้บริสุทธิ์ ด้านนางหลุบตาลงมองเขา ดวงตาสว่างเจิดจ้าดุจคบไฟ
“ข้ามิได้รังเกียจว่าท่านสกปรก เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้ที่จะรังเกียจท่าน ท่านไม่อาจสวมหมวกบนหัวข้าส่งเดช เช่นนี้ เข้าใจหรือไม่”
อูลั่วซิงทำราวกับชักกระบี่ล้ำค่าออกจากฝัก ท่าทางองอาจผึ่งผาย ยืนตระหง่านประจันหน้าเขา
“…เข้าใจ” ฉินชิวพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว สองตาไม่แม้แต่จะกะพริบ นึกไม่ถึงว่ายามนี้ตนเองแท้จริงเป็นอะไรกันแน่
หญิงสาวทำท่าจะไปแต่ยังรั้งอยู่…จากไปแล้วหวนกลับมาอีก ทำเอาอกซ้ายของเขาเต้นเร็วราวกับรัวกลอง ลมหายใจไม่อาจสงบลงได้ในชั่วขณะนี้ แขนขาทั้งสี่รู้สึกเมื่อยล้าอย่างพิลึกพิลั่นเป็นระยะๆ
แต่ไหนแต่ไรมีเพียงผู้อื่นยอมจำนนต่อเขา หมอบคลานแทบเท้าเขา ทว่าบัดนี้เขาถูกจับใบหน้าไว้ ทั้งยังจ้องเขม็งแน่วแน่ เขารู้สึกในทันทีว่าเขายินยอมอย่างยิ่งที่จะลดตัวลงพินอบพิเทาเพียงแค่เพื่อให้นางพึงใจ
ในตอนแรกคือการหยอกเย้านาง เล่นสนุกกับนาง รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนาง จากนั้นก็รู้สึกเข้าใจหัวอกกันและกัน การตกหลุมรักที่แท้เป็นเรื่องชั่วกะพริบตา พวกเขาล้วนแสวงหาความเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวและความเป็นหนึ่งเดียว เขากับนางคนหนึ่งลำพองคนหนึ่งโดดเดี่ยว จิตวิญญาณอันเดียวดายเมื่อได้พบเจอกันด้วยวาสนา จะปะทะกันเกิดเป็นประกายไฟเช่นใดหนอ
พวงแก้มของเขาพลันอาบย้อมด้วยเมฆแดงสองก้อน อดเอ่ยถามนางขึ้นมาไม่ได้ “หากไม่รังเกียจ ก็แสดงว่าเจ้าจะไม่จากไปใช่หรือ…”
ไม่ทันสิ้นเสียงเขา หญิงสาวก็โน้มตัวลงมาครอบครองริมฝีปากเขา ใช้การครอบจริงๆ ริมฝีปากค่อนข้างเล็กรูปผลอิงเถาราวกับกลัวจะปิดปากเขาไม่มิดก็มิปาน กลีบปากอิ่มทั้งสองเปิดกว้างอยู่บ้าง ปกคลุมปากเขาไว้ทั้งหมดดุจต้องการกลืนกินเขาลงไป