บทที่หนึ่ง
ค่ำคืนนี้ไร้จันทร์ ทว่ามีหมู่ดาวพราวพร่าง ธารดาราที่แขวนตัวสูงลิ่วอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มนั้นกำลังทอรัศมีวูบไหว
กล่าวกันว่าบนท้องฟ้าที่ลึกล้ำไร้ขอบเขตและดารดาษไปด้วยดวงดาวนี้มีความลี้ลับซุกซ่อนอยู่ไม่สิ้นสุด ไม่เพียงแต่โชคชะตาของทุกผู้คนที่ล้วนสอดคล้องกับดวงดาวเหนือผืนฟ้าอันไกลโพ้น กระทั่งความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมของใต้หล้าก็ยังเกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์บนฟ้าและการโคจรของดวงดาวเหล่านี้
นับแต่โบราณมา บน ‘ดินแดนพันเมฆา’ ก็มีปราชญ์ผู้หยั่งรู้นับไม่ถ้วนที่อาศัยปรากฏการณ์ของดวงดาวมาลอบสืบอนาคตทำนายลิขิตฟ้า โดย ‘ตำหนักลิขิตฟ้า’ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาชื่อเดียวกันทางทิศตะวันตกของดินแดนนี้ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสัญลักษณ์สูงสุดแห่งการพยากรณ์
ในสายตาของผู้คนทั่วหล้า ผู้ที่จะเข้าสู่ตำหนักลิขิตฟ้าได้ล้วนแต่เป็นบุคคลระดับตำนานผู้ไม่หยุดแสวงหาความรู้ เปี่ยมด้วยวิชาความสามารถ และลุ่มลึกจนสุดหยั่ง
ทว่าตอนนี้ในตำหนักลิขิตฟ้ากลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ด้านนอกมีเพียงหนุ่มน้อยในชุดผ้าดิ้นแขนกว้างสีม่วงผู้หนึ่ง กำลังยืนแหงนมองผืนฟ้าประดับดาวอยู่ที่ใต้ชายคากระเบื้องเคลือบปลายงอน เส้นผมสีดำสนิทดุจย้อมด้วยน้ำหมึกของเขาทิ้งตัวเหยียดยาวจนถึงใต้หัวเข่า เส้นผมกับแขนเสื้อล้วนปลิวไสวล้อสายลมราตรี ดูคล้ายกำลังจะขี่สายลมเหินคืนสู่แดนสวรรค์ในพริบตาถัดไป
แม้ไม่อาจยลโฉมของหนุ่มน้อยชุดม่วง ทว่าในค่ำคืนอันงดงามดั่งภาพฝันเช่นนี้ แค่เงาหลังอันชวนหวั่นไหวของเขาก็เพียงพอจะทำให้ผู้พบเห็นเคลิบเคลิ้มไปทั้งจิตและวิญญาณแล้ว
เด็กสาวหน้าแฉล้มในชุดแพรบางสองคนต่างเดินอย่างระมัดระวังมาจนถึงด้านหลังของหนุ่มน้อยชุดม่วง ก่อนจะโค้งคำนับเขาอย่างลึกซึ้งจริงใจพลางเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเจิ้งมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
หนุ่มน้อยชุดม่วงถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ “ผู้ที่พึงมาจะอย่างไรก็ต้องมา เชิญเขาเข้ามาเถอะ”
“เจ้าค่ะ” เด็กสาวชุดแพรขานรับโดยพร้อมเพรียงแล้วถอยจากไป ไม่ช้าคุณชายเจิ้งผู้นั้นก็มาปรากฏตัวที่ใต้ชายคากระเบื้องเคลือบปลายงอนแห่งนี้
คุณชายเจิ้งสวมชุดยาวสีดำทั้งร่าง ฝีก้าวที่มั่นคงและเงียบเชียบนั้นยิ่งทำให้เขาเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับรัตติกาล ต่อเมื่อเดินเนิบช้ามาถึงด้านหลังของหนุ่มน้อยชุดม่วงในระยะราวสามฉื่อแล้ว คุณชายเจิ้งจึงได้เอ่ยปากทำลายความเงียบลงในที่สุด “ที่เจ้ารีบร้อนเรียกข้ามา ก็เพื่อจะให้ข้ามองดูเงาหลังของเจ้าเช่นนี้น่ะหรือ”
“ดาวเกลื่อนฟ้าช่างงดงามยิ่ง ข้าย่อมต้องเชิญสหายผู้รู้ใจมาร่วมชมด้วยกันสิ บางทีพวกเราอาจเหลือโอกาสที่จะร่วมดื่มด่ำกับค่ำคืนที่ดีงามเช่นนี้อีกไม่มากนัก…เพราะวันที่หมู่ดาวจะร่วงหล่น ฟ้าดินจะโกลาหลนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว” สุ้มเสียงของหนุ่มน้อยชุดม่วงแผ่วรางล่องลอย คล้ายถ่ายทอดมาจากชั้นฟ้าอันแสนไกล
“เจ้าแน่ใจเพียงนี้เชียวว่าวันสิ้นพิภพที่พูดกันกำลังจะมาถึงแล้ว” น้ำเสียงของคุณชายเจิ้งเจือความแปลกใจอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าก็หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ว่า…หลายพันปีที่ผ่านมาวิชาทำนายของตระกูลเทวพยากรณ์ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน” น้ำเสียงของหนุ่มน้อยชุดม่วงเผยอารมณ์กลัดกลุ้มปนสลดใจอย่างเข้มข้น