เจิ้งเฮ่าอี้นวดขมับก่อนตอบ “เมื่อครั้งแรกเจ้าใช้น้ำผลไม้ แต่สีสันอ่อนเกินไป ครั้งที่สองเจ้าเปลี่ยนมาใช้น้ำละลายผงชาด แต่ความข้นก็ไม่เหมือน ครั้งก่อนเจ้าจึงเลือกใช้น้ำเชื่อม แต่กลิ่นหวานของมันก็รุนแรงไปอีก ครั้งนี้ข้าเห็นเจ้าเตรียมการอยู่นาน คงต้องใช้เลือดของจริงแล้วแน่ๆ เวลาส่วนใหญ่ที่ตำหนักลิขิตฟ้าล้วนต้องกินเจ บางช่วงเวลาที่ออกเจก็ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตพร่ำเพรื่อเด็ดขาด บังเอิญระหว่างที่เดินมาข้าได้ยินว่าคนของโรงครัวเพิ่งจะส่งน้ำแกงไก่ที่ตุ๋นเสร็จหยกๆ มาให้เจ้า ดังนั้นสิ่งที่เจ้าจะเลือกใช้คราวนี้นอกจากเลือดไก่ยังจะเป็นเลือดอะไรไปได้อีก หรือว่าหน้าอย่างเจ้าจะตัดใจยอมเสียเลือดตัวเองได้?”
ปู่เฉินอวี่ถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง จึงตัดพ้อด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจยิ่ง “เจ้าจะทำเป็นถูกข้าหลอกสำเร็จไม่ได้เลยเชียวหรือ”
“เจ้าปลอมชัดเกินไปเอง! ตอนนี้พลังวัตรของเจ้ายังไม่ถึงขั้นชำระไขกระดูกเปลี่ยนเส้นลมปราณเลยด้วยซ้ำ นับเต็มที่อย่างมากเจ้าก็มีอายุขัยเหลืออยู่แปดสิบปี แล้วจะเอาร้อยปีจากไหนมาให้ถลุงใช้ ขืนยอมให้คำโกหกชั้นเลวเช่นนี้หลอกเอาได้ก็ลบหลู่สติปัญญาของข้ามากไปแล้ว” เจิ้งเฮ่าอี้ส่ายหน้าประท้วง
พลังวัตรของผู้ฝึกวิชายุทธ์บนดินแดนพันเมฆาแห่งนี้แบ่งออกเป็นเจ็ดขั้น ไล่เรียงจากต่ำไปหาสูงคือขั้นถอดรูป ขั้นเปลี่ยนกระดูก ขั้นชำระไขกระดูก ขั้นเปลี่ยนเส้นลมปราณ ขั้นเหนือสามัญ ขั้นพ้นโลกิยะ และขั้นทรงฤทธา ก่อนที่จะทะลวงสู่ขั้นเหนือสามัญได้สำเร็จ อายุขัยจะยังคงไม่ต่างจากคนทั่วไป กล่าวคืออย่างมากก็แค่เพียงร้อยปีโดยประมาณ
อายุขัยของผู้ฝึกวิชาขั้นเหนือสามัญคือราวสองร้อยปี เมื่อเลื่อนถึงขั้นพ้นโลกิยะก็คือห้าร้อยปี หากถึงขั้นทรงฤทธาอายุขัยก็จะยิ่งยืนยาวไปถึงพันปีเลยทีเดียว! เรียกว่าเป็นเซียนในร่างมนุษย์ก็ไม่เกินเลย
“ยังมีผมปลอมของเจ้าอีก” เจิ้งเฮ่าอี้เหมือนจะยังทิ่มแทงใจสหายไม่สาแก่ใจพอ เขาจึงชี้มือไปยังเส้นผมที่ยาวจนชวนตะลึงและสยายปรกอยู่บนพื้นของปู่เฉินอวี่พลางเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้เดือนเศษเส้นผมของเจ้าเพิ่งจะยาวถึงบ่า อาศัยพลังวัตรผนวกกับพรสวรรค์ของเจ้า หากตอนนี้เส้นผมยาวถึงหลังก็เรียกว่าฝืนกฎธรรมชาติแล้ว”
ความยาวของเส้นผมคือเครื่องบ่งชี้ที่สำคัญอย่างหนึ่งของขั้นพลังวัตรและพรสวรรค์ของผู้ฝึกวิชารุ่นหนุ่มสาวบนดินแดนพันเมฆา ก่อนอายุยี่สิบปีหากมีพลังวัตรยิ่งสูงหรือพรสวรรค์ยิ่งดี เส้นผมก็จะยิ่งยาวตามไปด้วย ผู้ที่มีเส้นผมยาวเลยเอวตั้งแต่วัยหนุ่มสาวล้วนกลายมาเป็นสุดยอดฝีมือนามกระเดื่องบนดินแดนนี้ทั้งสิ้น
หากผมปลอมที่ยาวเลยหัวเข่าของปู่เฉินอวี่นั้นเป็นของจริง อย่างน้อยเขาก็ต้องเป็นสุดยอดฝีมือขั้นพ้นโลกิยะแล้ว
เจิ้งเฮ่าอี้ต่อว่ายกใหญ่จนปู่เฉินอวี่ที่นั่งอยู่กับพื้นเสียหน้าจนหัวเสีย ดังนั้นปู่เฉินอวี่จึงกระโจนร่างขึ้นดุจพยัคฆ์ร้ายไปขยุ้มสาบเสื้อของเจิ้งเฮ่าอี้ แล้วตวาดเสียงดุดันโดยไม่มัวเสแสร้งเป็นเทพเซียนในหมู่มนุษย์อะไรอีก “ตกลงจะไปหรือไม่ไป ว่ามาคำเดียว!”
เจิ้งเฮ่าอี้คลี่ยิ้มน้อยๆ “ไปสิ! เจ้าสู้อุตส่าห์เล่นละครฉากใหญ่เช่นนี้ ก็เพื่อจะหลอกให้ข้าไปพบเนื้อคู่ตามดวงชะตาอะไรนั่น หากข้าไม่ไปก็ไม่ไว้หน้าเจ้าเกินไปแล้ว”
“นับว่าเจ้ายังรู้ความ” ปู่เฉินอวี่ปาดเลือดไก่ที่ริมฝีปากกับหางตาออกด้วยท่าทีฮึดฮัด คิดๆ แล้วก็ทำใจยอมรับไม่ได้อยู่บ้าง “ข้าพูดจริงๆ นะ หากเจ้าไปตามที่ข้าบอก วันพรุ่งเจ้าจะได้พบเนื้อคู่ตามดวงชะตาของเจ้าอย่างแน่นอน เรื่องวันสิ้นพิภพก็ไม่ใช่ผลการทำนายของข้าคนเดียว ผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลข้าล้วนมีลางสังหรณ์ในทำนองเดียวกัน”
เจิ้งเฮ่าอี้กล่าว “ข้ารู้หรอกน่ะ เจ้าคือทายาทรุ่นที่สามสิบหกของตระกูลเทวพยากรณ์เชียวนะ คำทำนายที่ออกจากปากล้วนเป็นวาจาสิทธิ์ ไม่เคยหลอกลวงแม้แต่เด็กเล็กหรือผู้ชรา” สีหน้าของเขาจริงจังยิ่ง เพียงแต่ถูกรอยยิ้มในดวงตาหักหลังโดยสิ้นเชิง
ปู่เฉินอวี่โกรธจนลมหายใจติดขัด “เจิ้งเฮ่าอี้ สักวันข้าจะทำให้เจ้ายอมรับว่าข้าคืออัจฉริยะนักพยากรณ์ที่แท้จริง!”
“หวังว่าวันนั้นจะมาถึงก่อนวันสิ้นพิภพก็แล้วกันนะ” เจิ้งเฮ่าอี้หัวเราะร่วนพลางทะยานร่างจากไป เพียงพริบตาเขาก็หายลับไปภายใต้ผืนฟ้ากว้างที่เรืองรองด้วยหมู่ดาว
ตอนนี้เองดาวดวงหนึ่งที่ไม่รู้จักชื่อพลันเปล่งรัศมีเจิดจรัสขึ้นท่ามกลางผืนฟ้าราตรี ทว่าแสงอันจับตานั้นเพียงจ้าขึ้นวูบเดียวก็วับหาย ปู่เฉินอวี่ที่มัวแต่กระทืบเท้าด่ากราดอย่างฉุนเฉียวจึงไม่ทันสังเกตเห็น เจิ้งเฮ่าอี้ที่จากไปไกลลิบแล้วก็เช่นกัน