บทที่สอง
“พวกเราสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกก็คือตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในแวดวงสิบแปดมงกุฎ พวกเราเห็นความก้าวหน้าของวิชากลลวงและการพัฒนาคุณสมบัติของสิบแปดมงกุฎทั้งหลายเป็นภารกิจของตน ตั้งเป้าที่จะเสริมสร้างความสามารถในการใช้เล่ห์กล และสร้างสรรค์เครื่องมือกับแผนลวงในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้การหลอกลวงร้อยครั้งประสบผลสำเร็จทั้งร้อยครา ตลอดหมื่นปีมานี้พวกเรามุ่งมั่นผลักดันความก้าวหน้าของวงการสิบแปดมงกุฎ และส่งเสริมให้นักต้มตุ๋นที่เก่งฉกาจได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน เป็นผู้อุทิศกำลังสูงสุดเพื่อความเกรียงไกรของวิชากลลวง และเจ้าก็คือสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลอันยิ่งใหญ่นี้! เจ้าไม่รู้สึกว่าเป็นเกียรติ ไม่รู้สึกว่าเป็นความโชคดีหรือไร!”
หลังจากรับฟังท่านอาชาเทพสาธยายด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมจนจบ ในที่สุดซูเพียนจื่อก็สรุปความรู้สึกของตนออกมาได้ห้าคำว่า “เจ้าป่วยหนักชัดๆ!”
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่!
แรกสุดนางพลัดมาอยู่ในดินแดนพิสดารนี่อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต่อมาก็มีกลุ่มคนประหลาดโขยงหนึ่งโผล่มาบอกว่านางคือชาวสวรรค์ ก่อนจะพูดใหม่ว่านางคือขยะต่างหาก ถัดจากนั้นก็มีหนุ่มน้อยชุดดำพิลึกคนออกมาข่มขู่คาดโทษนาง ตอนนี้ม้าบินวิปริตที่เรียกตนเองว่าอาชาเทพตัวนี้ยังมาประกาศเสียงดังฟังชัดว่านางคือคนตระกูลสิบแปดมงกุฎอะไรนั่นอีก!
สวรรค์รู้สึกว่าการปั่นหัวนางเป็นความสะใจมากใช่หรือไม่!
ท่านอาชาเทพไม่พอใจอย่างยิ่งกับท่าทีของซูเพียนจื่อ จึงออกแรงกระทืบกีบเท้าทั้งสี่แล้วโต้กลับไปว่า “ข้าป่วยที่ตรงไหนกัน เจ้าเคยเห็นม้าป่วยที่งามสง่าแข็งแรงและคึกคักกระชุ่มกระชวยเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าคืออาชาเทพ…ก็คือม้าบินที่ป่วยเป็นโรคจิตขั้นเทพน่ะสิไม่ว่า เจ้าป่วยหนักชัดๆ! สมองป่วยอยู่เห็นๆ!” ซูเพียนจื่อสุดทนแล้วจึงยืนพรวดขึ้นชี้หน้าด่าทอท่านอาชาเทพทันใด
ท่านอาชาเทพบันดาลโทสะ ออกแรงสะบัดปีกเพียงวูบเดียว ซูเพียนจื่อก็รู้สึกได้ว่าทางนั้นมีพลังมหาศาลขุมหนึ่งพรั่งพรูมาหาเธอ จนทำให้ยืนไม่อยู่ต้องล้มนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
ชั่วขณะนี้สาวน้อยจึงค่อยฉุกคิดได้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ‘ม้าบินโรคจิต’ ตัวนี้ การยั่วโมโหมันเพียงเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบนั้นไม่ฉลาดเลยจริงๆ ที่นี่คือป่าดงเปลี่ยวร้าง เพียงมันยื่นหนึ่งเท้าถีบส่งนางลงทะเลสาบไป จวบจนนางจมน้ำตายก็คงไม่มีใครมาช่วยเหลือ
พอคิดได้ดังนั้นซูเพียนจื่อก็พลันเปลี่ยนท่าที รีบพูดกับท่านอาชาเทพด้วยสีหน้าประจบเอาใจ “เจ้าอย่าได้โกรธไปเลยนะ ข้าเพียงแค่ตื่นเต้นชั่ววูบเท่านั้น จึงไม่อาจยอมรับความจริงที่ชวนตกใจแต่ก็น่ายินดีนี้ได้ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า! อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน…ไม่ถูกสิ! เอ่อ…อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นอาชาเทพในครอบครัวของข้า ไม่ควรเลยที่จะใช้ความรุนแรงต่อกันส่งเดช ถูกต้องหรือไม่”
ท่านอาชาเทพแค่นเสียงฮึก่อนจะพับปีกลงช้าๆ
ซูเพียนจื่อรีบรุกคืบชวนคุยไปตามที่มันเปิดประเด็นไว้ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าคือคุณหนูเจ็ดสกุลซูที่พลัดพรากไปนานปีไม่ใช่หรือ แล้วเจ้าจำข้าได้อย่างไรล่ะ”
ท่านอาชาเทพเหลือบมองจี้ไม้ตรงหน้าอกของสาวน้อยแวบหนึ่งก่อนตอบหน้าบูดบึ้ง “จี้ไม้นี้ฮูหยินน้อยเป็นผู้คล้องคอให้เจ้าเองกับมือในตอนที่เจ้าเพิ่งเกิด อักษร ‘ซู’ ตัวหนึ่งที่อยู่ในลวดลายด้านหลังของจี้ไม้ก็คือสัญลักษณ์ลับของสกุลซูที่คุณชายเป็นผู้สลักเองกับมือ สัญลักษณ์ลับนี้มีเพียงบุตรหลานสกุลซูสายหลักเท่านั้นจึงจะรู้จัก ผู้อื่นล้วนไม่ล่วงรู้ เมื่อครู่โชคดีที่คนกลุ่มนั้นเห็นแต่ด้านหน้าของจี้ไม้ไม่ใช่ด้านหลัง เพราะต่อให้ไม่รู้ว่าลวดลายอักษร ‘ซู’ นั้นหมายถึงคุณหนูเจ็ด พวกเขาก็ต้องรู้ว่าเจ้าคือคนสกุลซู หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็…หึๆ”
“คุณชายกับฮูหยินน้อย…หมายถึงท่านพ่อท่านแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ” หัวใจของซูเพียนจื่อเต้นระรัวเร็วขึ้นทันใด นางโตมาจนป่านนี้แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงข่าวคราวของบิดามารดาผู้ให้กำเนิดนาง!