คุณป้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเคยบอกว่า…ซูเพียนจื่อถูกคนเก็บได้จากข้างทางที่ถนนสายเล็กๆ ตรงจุดชมวิวแห่งหนึ่ง แล้วนำมาส่งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนนั้นซูเพียนจื่อเพิ่งจะอายุได้ราวหนึ่งถึงสองเดือน บนตัวนอกจากจี้ไม้แกะสลักชิ้นนี้ก็ไม่มีสิ่งยืนยันตัวตนอย่างอื่นอีก จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าบิดามารดาเป็นใคร และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนนำมาทิ้งไว้ตรงนั้น เพราะบนจี้ไม้มีอักษรซูอยู่ตัวหนึ่ง คนที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจึงใช้มันเป็นแซ่ของซูเพียนจื่อ
ไม่ต่างจากเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ซูเพียนจื่อเองก็เฝ้าหวังมาตลอดว่าสักวันหนึ่งบิดามารดาจะกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าตน และจี้ไม้แกะสลักชิ้นนี้ก็จะเป็นสิ่งยืนยันให้สองฝ่ายได้รู้จักกัน ด้วยเหตุนี้ซูเพียนจื่อจึงหวงแหนมันดั่งชีวิตมาตั้งแต่เล็ก
นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ความฝันจะกลายเป็นจริงแล้ว ชั่วขณะนี้ซูเพียนจื่อรู้สึกว่าต่อให้ตนเองถือกำเนิดในตระกูลสิบแปดมงกุฎจริงๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ขอเพียงมันทำให้นางได้รู้จักกับพ่อแม่แท้ๆ ไม่ว่าอะไรนางก็ไม่ติดใจทั้งสิ้น
ท่านอาชาเทพผงกศีรษะรับโดยไม่ทำให้ซูเพียนจื่อต้องผิดหวัง “ถูกแล้ว บิดาของเจ้าก็คือบุตรชายคนเล็กของประมุขสกุลซู นามว่าซูหู่หลี่ ส่วนมารดาของเจ้าเคยเป็นทายาทที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลแพทย์สกุลหลิ่ว นามว่าหลิ่วฉิงซิน”
“แล้วพวกท่านอยู่ที่ไหน เจ้ารีบพาข้าไปพบพวกท่านทีสิ!” ซูเพียนจื่อกระโดดกอดคอของท่านอาชาเทพพลางพูดอย่างตื่นเต้นยินดียิ่ง
สาวน้อยดีอกดีใจเหลือเกิน จนทำให้ไม่ทันสังเกตเห็นแววเศร้าสลดจางๆ ที่วูบขึ้นแล้ววับหายไปจากดวงตาของท่านอาชาเทพ
“เจ้าตามข้ากลับถ้ำพันจิ้งจอกก็จะได้พบพวกเขาเอง” ท่านอาชาเทพพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ใช่ว่าซูเพียนจื่อไม่เคยระแวงสงสัยว่าการไปครั้งนี้เธออาจจะถูกหลอกก็เป็นได้ อย่างไรเสียม้าที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้ก็มาจากตระกูลสิบแปดมงกุฎเชียวนะ ทว่าความรู้สึกกระหายที่จะได้กลับไปพบหน้าบิดามารดานั้นเอาชนะทุกสิ่ง อีกทั้งนางก็ไม่พบช่องโหว่ที่เด่นชัดในคำพูดเมื่อครู่ของท่านอาชาเทพแต่อย่างใด
หากม้าบินตัวนี้จะทำร้ายนาง มันก็สามารถลงมือได้เดี๋ยวนี้ ไม่จำเป็นต้องหลอกพานางไปที่ถ้ำพันจิ้งจอกอะไรนั่นเป็นพิเศษสักหน่อย หากตามมันไปสักเที่ยว อย่างมากนางก็แค่ดีใจเก้อ ไม่ได้มีอะไรเสียหายนี่
ซูเพียนจื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสามารถไปได้ ดังนั้นนางจึงอยากจะรีบออกเดินทางให้ได้ในทันที
ทว่าท่านอาชาเทพกลับสะบัดหัวแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “รีบร้อนอะไรเล่า ให้ข้ากินอิ่มก่อนค่อยไปก็ไม่สาย”
“เจ้าจะกินหญ้าหรือ หญ้าทางนั้นดูงอกงามไม่เลวทีเดียวนะ!” สองตาของซูเพียนจื่อทอประกายแวววาว ขณะชี้มือไปยังทุ่งหญ้าผืนย่อมที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก
“หญ้าป่าชั้นเลวที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้น ใช่สิ่งที่อาชาเทพผู้งามสง่าสูงส่งเช่นข้าจะกินได้หรือ!” ท่านอาชาเทพถลึงตาใส่ ก่อนจะเดินส่ายอาดๆ มุ่งไปทางป่าผืนเล็กที่อยู่ทางซ้ายมือ
วางท่าอะไรกัน ก็เป็นแค่ม้าบินโรคจิตตัวหนึ่งอยู่ดีไม่ใช่หรือ ซูเพียนจื่อลอบเหลือกตาก่อนจะเดินตามมันไป
หลังจากเดินไปได้สักพัก ในที่สุดสาวน้อยก็ได้รู้ว่าเพราะอะไรท่านอาชาเทพจึงไม่เห็นหญ้าป่าเหล่านั้นอยู่ในสายตา…ที่แท้อาหารโปรดของมันคือดอกไม้! อีกทั้งยิ่งดอกใหญ่ยิ่งสวยสด มันก็ยิ่งโปรดปราน