ตลอดรายทางที่เดินไป ขอเพียงเห็นว่าในพุ่มไม้มีดอกไหนที่สวยน่ามอง มันก็จะปรี่เข้าไปด้วยความเร็วระดับฟ้าร้องยังไม่ทันได้ป้องหู จากนั้นก็เขมือบดอกไม้ทั้งดอกเข้าปากในคำเดียว ท่าทางเขมือบบุปผาด้วยฝีมืออำมหิตนี้ดูแสนจะช่ำชอง พริบตาดอกไม้นานาพันธุ์ในป่าผืนเล็กที่ถูกมันเข้ากวาดล้างก็ร่วงโรยไปจนหมดสิ้น คงเหลือไว้เพียงกิ่งดอกที่เหี้ยนเตียนเท่านั้น
“ดอกไม้ที่นี่มีรสชาติสดอร่อยเป็นพิเศษ เจ้าจะลองดูสักหน่อยหรือไม่เล่า” ท่านอาชาเทพกินอิ่มหนำแล้วจึงค่อยเอียงหน้ามาพูดอย่าง ‘เกรงใจ’ กับซูเพียนจื่อ
“ขอบคุณนะ แต่ข้ายังไม่หิวหรอก…” สาวน้อยกวาดตาไปรอบๆ นอกจากสีเขียวก็มีแต่สีเขียว ยังมีเงาของดอกไม้หลงเหลืออยู่ที่ไหนกันเล่า
“เจ้ากินอิ่มแล้วใช่หรือไม่ พวกเราออกเดินทางกันได้แล้วสินะ” ซูเพียนจื่อเอ่ยเร่ง
“ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญยิ่ง” สีหน้าของท่านอาชาเทพเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง
“เรื่องอะไรหรือ”
“เจ้ายื่นมือขวามาสิ”
ซูเพียนจื่อยื่นมือขวาออกไปอย่างงุนงง “โอ๊ย! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”
ท่านอาชาเทพถึงกับพลัน ‘สัญชาตญาณดิบกำเริบ’ มันกัดมือซูเพียนจื่อจนปลายนิ้วได้แผล และมีเลือดซึมออกมาเป็นหยดๆ
สาวน้อยตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี รีบหันขวับออกวิ่งหลายก้าวไปซ่อนตัวอยู่หลังไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วตั้งท่าพร้อมจะหนีเอาชีวิตรอดอยู่ตลอดเวลา
ทว่าท่านอาชาเทพไม่ได้ไล่ตามมาแต่อย่างใด มันเพียงแหงนหน้าขึ้นฟ้า ปากก็ท่องคาถาแปลกๆ ยาวเป็นพรวน
ไม่รู้เพราะเหตุใดสัญชาตญาณของซูเพียนจื่อจึงบอกว่านั่นไม่ใช่คาถาที่จะทำร้ายตนเอง สีหน้าอันจริงจังของท่านอาชาเทพดูคล้ายกำลังทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์สักอย่างอยู่มากกว่า
แสงตะวันสาดลอดยอดไม้และกิ่งใบลงมาอาบร่างของท่านอาชาเทพ ขนขี้ริ้วซึ่งเดิมทีเป็นสีเหลืองโคลนและแซมแต้มด้วยสีน้ำตาลอมดำเป็นหย่อมๆ นั้นราวกับถูกฉาบด้วยรัศมีสีทอง ส่งผลให้ผู้พบเห็นไม่รู้สึกว่ามันอัปลักษณ์อีกต่อไป ทั้งยังเปลี่ยนเป็นเหมือนรูปสลักอันวิจิตรประณีตที่ดูลี้ลับและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ
รอจนรัศมีนั้นค่อยๆ เลือนหายไป ท่านอาชาเทพจึงก้มหน้าลงพูดกับซูเพียนจื่อที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ “โปรดตั้งชื่อให้ข้าด้วย นายข้า!”
“ชื่อ? นาย?” ซูเพียนจื่อย้อนถามอย่างกังขายิ่ง
ท่านอาชาเทพย่ำสองเท้าหน้าอย่างหงุดหงิดก่อนตอบ “เมื่อครู่ข้าได้ใช้เลือดของท่านตั้งสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว นับแต่นี้ไปท่านก็คือเจ้านายของข้า ท่านก็รีบๆ ตั้งชื่อให้ข้าเถอะ”
“เอ่อ…อย่างนั้นเจ้าก็ชื่อฝูอวิ๋นที่แปลว่าเมฆลอย…ดีหรือไม่” ซูเพียนจื่อพลันนึกถึงชื่อนี้เมื่อมีประกายความคิดวาบขึ้นในหัวสมอง เพียงแต่นางยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดตนจึงกลายมาเป็นเจ้านายของอาชาเทพตัวนี้ไปได้
ท่านอาชาเทพรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง “ชื่อนี้ไม่เลวทีเดียว พอจะกล้อมแกล้มขับเน้นบุคลิกอันงามสง่าเหนือสามัญของข้าได้อยู่ ว่าแต่ท่านคิดออกมาได้อย่างไรกัน”
ซูเพียนจื่อกลั้นยิ้มก่อนตอบ “ก็โลกที่ข้าจากมามีคำคมที่ว่า ‘อาชาเทพล้วนเป็นเช่นเมฆลอย’ น่ะสิ”
หลังจากฝูอวิ๋นได้ชื่อที่พึงพอใจแล้ว มันก็ไม่ประวิงเวลาอีก รีบแบกซูเพียนจื่อเหาะมุ่งไปยังทิศทางของถ้ำพันจิ้งจอกทันที