พริบตาในโถงตำหนักใหญ่ก็เหลือแต่ซูถิงหยวนกับผู้อาวุโสใหญ่หานเพียงสองคน
ผู้อาวุโสใหญ่หานเอ่ยขึ้นอย่างหดหู่ “เดิมทีนึกว่าบุตรีของคุณชายหู่หลี่จะมีพรสวรรค์โดดเด่นเหมือนกับตัวเขาเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่า…”
‘คุณชายหู่หลี่’ ที่เขาเอ่ยถึงก็คือซูหู่หลี่คุณชายสามสกุลซู ผู้เป็นบิดาของซูเพียนจื่อ
ซูถิงหยวนถอนหายใจยาวก่อนกล่าว “หรือว่านับแต่นี้สกุลซูของข้าจะต้องตกต่ำแล้วจริงๆ เดิมทีข้านึกว่าหู่หลี่จะพลิกผันสถานการณ์ได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเขากลับหายไปไม่รู้ร่องรอย สกุลซูของพวกเรามีภัยพิบัติครั้งใหญ่มารออยู่ข้างหน้าแล้ว แต่กลับไม่มีศิษย์ที่เยี่ยมยอดสักคนสามารถรับช่วงสิ่งที่บรรพชนตกทอดเอาไว้”
ในโถงตำหนักใหญ่ไม่มีผู้อื่นแล้ว เขาจึงไม่ฝืนรักษาท่าทีอันน่าเกรงขามไว้อีก ร่างกายคล้ายพลันชราลงยี่สิบสามสิบปี ทั้งตัวแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายแห่งความทรุดโทรม ดุจตะวันรอนที่ใกล้จะลาลับทิวเขาประจิม
ผู้อาวุโสใหญ่หานตื่นตระหนก รีบเดินขึ้นหน้าไปจับมือของอีกฝ่ายไว้ “ท่านประมุข อาการบาดเจ็บของท่าน…”
“ข้าประคับประคองได้อีกไม่นานแล้ว…สั้นหน่อยก็สามปี ยาวหน่อยก็ห้าปี” ซูถิงหยวนเอ่ยปนยิ้มเฝื่อน
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ถ้า…ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรกันดี” ผู้อาวุโสใหญ่หานร้อนใจจนหน้าซีดเผือด
ซูถิงหยวนสั่นศีรษะ “รอให้ศิษย์น้องที่เหลืออีกสี่คนกลับมาก่อน ข้าจะให้ศิษย์ทั้งหมดออกไปรับการทดสอบที่นอกถ้ำพันจิ้งจอก ถึงตอนนั้นก็ให้สวรรค์ตัดสินแล้วกัน หวังว่าเทพเจ้าแห่งกลลวงจะไม่ทอดทิ้งบุตรหลานอกตัญญูเหล่านี้ของท่าน”
ศิษย์น้องที่เหลืออีกสี่คนที่เขาพูดถึงก็คือผู้อาวุโสของสกุลซูอีกสี่คนที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่
ผู้อาวุโสใหญ่หานขยี้จอนผม “เช่นนั้นได้แต่ปล่อยไปตามลิขิตฟ้าแล้ว”
ทั้งสองต่างไร้ถ้อยคำอยู่ครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสใหญ่หานจึงค่อยเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “แปลกแท้ เมื่อครู่ข้าถึงกับมองอนาคตบุตรีของคุณชายหู่หลี่ไม่ออก”
ซูถิงหยวนตะลึงงัน “เจ้าก็มองไม่ออกเช่นกันหรือนี่” เดิมทีเขานึกว่าเป็นเพราะตนเองบาดเจ็บสาหัสเสียอีก
ชายชราทั้งสองหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยายามหวนทบทวนสิ่งที่ได้เห็นในรัศมีสีม่วงเมื่อครู่นี้ สุดท้ายทั้งสองก็อ้าปากสูดลมเย็นเข้าปอดเฮือกใหญ่พร้อมกันโดยไม่ได้นัดแนะ “บนตัวยายหนูนั่นต้องมีสิ่งผิดปกติ!”
ทว่าไม่ช้าซูถิงหยวนก็เยือกเย็นลง “แต่นางไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์” ข้อนี้เห็นกันอย่างชัดแจ้ง บนดินแดนพันเมฆาไม่เคยมีปรากฏมาก่อนว่าคนที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์สามารถสร้างความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงอะไรได้
ยากนักจะได้เห็นความหวังแม้ว่ามันจะริบหรี่ก็ตามที ดังนั้นผู้อาวุโสใหญ่หานจึงไม่ยอมถอดใจ
“พวกเราล้วนได้เห็นอดีตจากความทรงจำของนางแล้ว นี่ควรจะเป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสกับคันฉ่องมายาจันทร์ม่วง กระทั่งท่านกับข้าก็ยังมองอนาคตของนางไม่ออก เช่นนั้นจะต้องมีใครเคยทำอะไรกับนางเพื่ออำพรางลิขิตฟ้า หรือไม่ก็ต้องเป็นเพราะความสำเร็จของนางในอนาคตนั้นเหนือกว่าเราสองลิบลับ ดังนั้นพวกเราจึงได้มองไม่ออก”
ซูถิงหยวนเองก็หวังเหลือเกินว่าทุกสิ่งจะเป็นดังที่อีกฝ่ายกล่าวมา แต่เมื่อนึกถึงสัญลักษณ์เมฆมงคลที่ไร้สีบนแขนของซูเพียนจื่อนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาอีก สุดท้ายจึงเอ่ยเพียงว่า “เช่นนั้นก็ดูไปก่อนแล้วกัน…”