พอนึกว่ากำลังจะได้พบหน้าคนในครอบครัวของตนแล้ว ซูเพียนจื่อก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอยู่บ้าง นางจึงขยุ้มขนแผงคอของฝูอวิ๋นไว้แน่น
กระแสจิตสายหนึ่งพลันถ่ายทอดมาจากฝูอวิ๋น… ท่านต้องจำคำที่ข้าเคยพูดเอาไว้ให้มั่น
ซูเพียนจื่อหัวใจสะท้านวูบ คล้ายจู่ๆ ก็ถูกคนเอาน้ำเย็นเฉียบมาสาดตัวในวันที่อากาศร้อนจัด
ก่อนหน้านี้ฝูอวิ๋นเคยเตือนสตินางว่าอย่าได้บอกผู้อื่นเรื่องที่วันหน้าตนมีโอกาสจะคลายผนึกและฝึกวิชาได้ ยิ่งห้ามบอกผู้อื่นว่าตนมีพรสวรรค์สูงถึงระดับชาวสวรรค์ และอย่าได้เชื่อใจคนสกุลซูทั้งเบื้องบนเบื้องล่างไม่ว่าผู้ใดง่ายๆ
สกุลซูนี่น่ากลัวถึงขั้นนี้จริงๆ น่ะหรือ!
ขณะที่ซูเพียนจื่อยังแคลงใจ ฝูอวิ๋นก็เหาะไปถึงหน้าตำหนักใหญ่ที่อยู่บนยอดเขาแล้ว มันแสดงท่าทีให้นางก้าวลงพื้นแล้วเดินเท้าเข้าไปพร้อมกับมัน
เพิ่งจะย่างเท้าเข้าไปในตำหนัก สาวน้อยก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาที่แฝงนัยแตกต่างกันหลายสิบคู่สาดพุ่งมาจับที่ร่างนางโดยพร้อมเพรียง เจ้าของสายตาเหล่านั้นมีทุกเพศทุกวัย แต่ละคนสวมเสื้อตัวสั้นเข้ากับกระโปรงยาว บุคลิกงามสง่า รูปโฉมล้วนจัดอยู่ในขั้นหมดจดเป็นอย่างน้อย
ชายชราผู้เป็นหัวหน้านั้นนั่งสูงอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์ม่วงตรงกึ่งกลางของโถงตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม ดวงตาหรี่ลงกึ่งหนึ่งราวกำลังเข้าฌานอยู่
ในโถงตำหนักใหญ่เงียบกริบชนิดที่เข็มตกสักเล่มก็ต้องได้ยิน แรงกดดันที่ไร้สภาพนั้นชวนให้หายใจหายคอได้ลำบาก
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ซูเพียนจื่อกลับยิ่งเข้มแข็งไม่ยอมแพ้ นางยืดสันหลังตรงพลางเบิกตาโตสบประชันกับผู้คนกลุ่มใหญ่นี้โดยไม่ยอมเผยความขลาดกลัวแม้สักนิด
คาดว่าชายชราผู้นี้ก็คือประมุขสกุลซูที่เรียกกัน ตามที่ฝูอวิ๋นบอกมา…เขาก็คือท่านปู่ของนาง มีนามว่าซูถิงหยวน
ไม่รู้ว่าเขาจะรักถนอมหลานสาวคนนี้เหมือนเหล่าคุณปู่ของเพื่อนนักเรียนในโลกใบเก่าหรือไม่ ซูเพียนจื่อผุดความคาดหวังเล็กๆ ขึ้นในใจ
ซูถิงหยวนซึ่งนั่งอยู่ตรงกึ่งกลางมองพิจารณาซูเพียนจื่อเงียบๆ สักพักจึงค่อยเอ่ยปากในที่สุด “เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
“ข้ามีชื่อว่าซูเพียนจื่อเจ้าค่ะ”
“เดินเข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ ซิ” เสียงของซูถิงหยวนราบเรียบ ปราศจากอารมณ์ตื่นเต้นที่ปู่หลานได้พบหน้า น้ำเสียงอันเป็นงานเป็นการนั้นทำให้ซูเพียนจื่อผิดหวังอยู่ครู่หนึ่ง
ก็ถูกของเขา คนสองคนเพิ่งจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก ต่อให้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ในด้านของความรู้สึกแล้วก็เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น ฝูอวิ๋นเคยบอกว่าในสกุลซูมีคุณชายกับคุณหนูอยู่ดาษดื่น นางจะถือสิทธิ์อะไรให้ผู้อื่นโปรดปรานเอ็นดูนางเป็นพิเศษเล่า
ซูเพียนจื่อเยาะหยันตนเองอยู่ในใจ ก่อนจะเดินก้าวยาวไปข้างหน้า
ผู้เฒ่าอีกคนที่อยู่ข้างกายซูถิงหยวนเป็นผู้สืบเท้าขึ้นหน้ามาพูดกับนาง “โปรดให้พวกเราดูสัญลักษณ์สายโลหิตของเจ้าสักหน่อย”
ซูเพียนจื่อม้วนแขนเสื้อข้างขวาขึ้นตามคำขอ จนกระทั่งเผยให้เห็นสัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยวสีม่วงที่อยู่บนแขน เมื่อผู้คนในโถงตำหนักใหญ่ได้เห็นสัญลักษณ์อันคุ้นเคยนี้ พวกเขาก็ส่งสายตากันไปมาแล้วถกความเห็นกันเสียงเบา
ผู้เฒ่าคนเดิมบรรจงประคองคันฉ่องแก้วผลึกสีม่วงที่มีรูปทรงเดียวกับสัญลักษณ์นั้นมาบานหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “เชิญวางมือขวาของเจ้าบนบานคันฉ่องนี้”
ซูเพียนจื่อจึงทำตามนั้นทันที เมื่อฝ่ามือของนางสัมผัสถูกผิวคันฉ่องอันเรียบลื่นและเย็นเฉียบ ตัวคันฉ่องก็พลันเปล่งรัศมีสีม่วงเจิดจ้าออกมาคลุมทั้งร่างของนางเอาไว้ภายใน