นับแต่มาถึงโลกใบใหม่นี้ซูเพียนจื่อก็เคยเห็นเรื่องอัศจรรย์ทำนองนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอาการตื่นตูมใดๆ ในใจคาดเดาว่านี่น่าจะเป็นวิธีจำแนกสายเลือดว่าแท้หรือเทียม นางจึงนิ่งคอยให้รัศมีสีม่วงสลายหายไปเอง
ซูถิงหยวนรวมถึงผู้เฒ่าอีกหลายคนที่อยู่ด้านข้างล้วนเบิกตาโตจ้องเขม็งไปที่รัศมีสีม่วงรอบตัวซูเพียนจื่อ แต่ละคนทำราวกับต้องการจะมองหาดอกไม้สักดอกในนั้น ผู้เฒ่าทั้งหลายยิ่งมองก็ยิ่งมีสีหน้าชอบกล รอจนรัศมีสีม่วงเลือนจางไป สีหน้าที่พวกเขาใช้มองพิจารณานางก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนอยู่บ้าง ทว่าก็กลับมาเป็นปกติในไม่ช้า
ขณะที่สาวน้อยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฝูอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังของนางก็กะพริบดวงตาที่ทั้งโตทั้งงดงามคู่นั้น แววเจ้าเล่ห์ริ้วหนึ่งวาบผ่านก้นบึ้งของดวงตาก่อนที่มันจะพูดเสียงกังวาน “ท่านประมุข ข้าตามหาคุณหนูเจ็ดบุตรีของคุณชายสามกลับคืนมาแล้ว สมควรจะมีรางวัลใช่หรือไม่ขอรับ”
ซูถิงหยวนไม่ได้แยแสมัน เพียงสบตากับผู้เฒ่าที่ประคองคันฉ่องแล้วถามซูเพียนจื่อว่า “บนแขนซ้ายของเจ้ามีสัญลักษณ์พรสวรรค์อยู่หรือไม่”
เมื่อคำถามนี้เปล่งออกมา ซูเพียนจื่อก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศในโถงตำหนักใหญ่แห่งนี้เปลี่ยนเป็นพิกลยิ่ง นางกัดฟันม้วนแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นแล้วกล่าวตอบ “มีเจ้าค่ะ เพียงแต่ไม่มีสีสัน”
รอจนนางพูดจบและสัญลักษณ์เมฆมงคลที่ไร้สีนั้นได้เผยออกมาต่อหน้าคนทั้งหมดแล้ว เสียงสูดหายใจเฮือกก็ดังขึ้นต่อเนื่อง ฟังคล้ายรู้สึกเสียดาย ทว่านางกลับสัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่าในความเสียดายนี้ยังเจือด้วยอารมณ์ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
นางเงยหน้าขึ้นอย่างเข้มแข็งไม่ยอมคน สายตามองไปทางซูถิงหยวนผู้นั่งอยู่ตรงกึ่งกลางและมีสีหน้าผิดหวังอย่างยากจะอำพรางเช่นเดียวกับคนอื่นๆ…
ข้าไม่อาจฝึกวิชา ท่านก็จะไม่รับหลานสาวคนนี้แล้วใช่หรือไม่
หากพวกท่านตัดสินค่าของคนที่ผลประโยชน์เช่นนี้ ข้าก็จะไม่เห็นพวกท่านเป็นญาติด้วยเช่นกัน!
ซูเพียนจื่อแค่นเสียงฮึอยู่ในใจ
ซูถิงหยวนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก็โบกมือกล่าว “เจ้าคือลูกของหู่หลี่ แต่น่าเสียดายหู่หลี่หายตัวไปไม่รู้ร่องรอย เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ไปพักก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
นี่เท่ากับเขายอมรับฐานะของนางแล้ว ทว่าก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างอบอุ่นเท่าไรนัก คนอื่นๆ ในโถงตำหนักใหญ่ล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ซูเพียนจื่อต้องทนรับสายตาของใครต่อใครมาตั้งแต่เล็กแล้ว ดังนั้นเพียงมองผาดๆ ก็รู้สึกได้ว่าในบรรดาคนเหล่านี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เจตนาดีกับนาง
อารมณ์ปลาบปลื้มที่ได้กลับมาบ้านพลันถูกความเย็นชาของ ‘เหล่าวงศาคณาญาติ’ จู่โจมเข้าใส่จนกระเจิงหายไปกว่าครึ่งค่อน หากไม่ใช่เพราะยังอยากจะรู้ข่าวคราวของบิดามารดา เกรงว่าตอนนี้นางคงจะหมุนตัวจากไปอย่างไม่ลังเลสักนิดแล้ว
ผู้เฒ่าซึ่งเมื่อครู่ประคองคันฉ่องแก้วผลึกรูปจันทร์เสี้ยวมาตรวจยืนยันสายเลือดให้ซูเพียนจื่อผู้นั้นยังนับได้ว่าอ่อนโยนเป็นมิตร เมื่อผู้เป็นประมุขแสดงท่าที เขาก็ก้าวออกมาแนะนำฐานะของแต่ละคนในโถงตำหนักใหญ่ให้นางได้รู้จัก
ที่แท้ผู้เฒ่าท่านนี้แซ่หาน เป็นผู้อาวุโสต่างแซ่ของสกุลซู ระหว่างทางที่มาฝูอวิ๋นเคยแนะนำโครงสร้างตระกูลให้นางฟังคร่าวๆ แล้ว รองจากประมุขซูถิงหยวนลงไปก็คือตำแหน่งผู้อาวุโสทั้งห้า มีเพียงผู้อาวุโสรองเท่านั้นที่แซ่ซู ที่เหลืออีกสี่คนล้วนเป็นบุตรหลานต่างแซ่ ซึ่งได้แก่ ผู้อาวุโสใหญ่หานที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ตามด้วยผู้อาวุโสสามโจว ผู้อาวุโสสี่หลี่ และผู้อาวุโสห้าเฉิน