ในขณะที่ทั้งสองเตรียมการจะเล่นงานซูเพียนจื่อกับซูเจินเจินอยู่นั้น ฝ่ายซูเพียนจื่อกำลังยืนอยู่ในป่ากับฝูอวิ๋น ดวงตาจ้องเขม็งไปยังรังผึ้งขนาดยักษ์ที่อยู่บนไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพลางกลืนน้ำลาย
หนึ่งคนกับหนึ่งม้าไม่ได้ตะกละอยากจะกินน้ำผึ้งในรังนั้นหรอก หากแต่กำลังหวั่นหวาดอยู่ต่างหาก
“ท่านจะทำเช่นนี้จริงๆ น่ะหรือ” ในน้ำเสียงของฝูอวิ๋นเอ่อท้นด้วยความวิตกกังวลอันเข้มข้น
“ก็ข้าไม่ได้มีพลังพิเศษนี่ หากคิดจะผ่านด่านแปลงโฉมปลอมตัวในสนามสอบย่อยถัดไป วิธีที่แน่นอนที่สุดก็คือวิธีนี้นี่ล่ะ” ซูเพียนจื่อกัดฟันตอบ
“แต่ว่ามันเจ็บมากนะ! อีกอย่างท่านไม่กลัวหรือว่าจะทำให้ตนเองเสียโฉม” ฝูอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่เห็นพ้อง
ซูเพียนจื่อหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะตอบเบาๆ “เจ็บแค่นี้สำหรับข้าแล้วนับเป็นอะไรกันเล่า” นางไม่ใช่คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ได้บิดามารดาประคบประหงมจนเติบใหญ่สักหน่อย ความลำบากที่นางเคยได้รับมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เล็กนั้น จนชั่วชีวิตของเด็กในครอบครัวปกติก็ไม่มีทางที่จะคิดภาพออกมาได้หรอก
ฝูอวิ๋นมองดูนาง ในดวงตาของมันเผยแววเจ็บปวดระคนละอายใจ ทว่าล้วนถูกอำพรางอยู่ท่ามกลางเงาไม้ที่กระจายตัวเป็นแต้มๆ อีกทั้งซูเพียนจื่อเองก็ไม่ได้ไปสังเกต
“ตอบมาประโยคเดียว จะช่วยหรือไม่ช่วย” ซูเพียนจื่อเอ่ยถามเสียงเบา
“…ก็ได้!” ฝูอวิ๋นหลับตาแรงๆ กะพริบเอาทุกอารมณ์ที่ไม่ควรจะปรากฏออกมานั้นทิ้งไป จากนั้นก็รวบรวมสมาธิเตรียมตัวสนับสนุนการกระทำของซูเพียนจื่อ
หนึ่งคนกับหนึ่งม้าง่วนอยู่ในป่าเรื่อยมา จวบจนยามอาทิตย์อัสดงงานสำคัญจึงสำเร็จลุล่วงแล้วกลับไปที่เรือนไม้ไผ่หลังเล็กด้วยกัน
ท่ามกลางแสงตะวันรอนที่หลงเหลืออยู่นั้น สิ่งที่รอต้อนรับทั้งสองอยู่ไม่ใช่กลิ่นหอมฉุยฟุ้งเรือนจากอาหารที่ซูเจินเจินปรุงไว้ หากแต่เป็นสายตาอันเย็นชาที่ดูแปลกตายิ่งนัก
“เพราะเหตุใดเจ้าต้องหลอกข้าด้วย ไหนเจ้าเคยบอกว่าจะไม่หลอกข้า!” ซูเจินเจินเอ่ยด้วยสีหน้าที่ซีดขาว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าไปหลอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” ใบหน้าของซูเพียนจื่อเกลื่อนไปด้วยความงุนงง
ซูเจินเจินทั้งโกรธทั้งร้อนใจจึงเอ่ยไปร้องไห้ไป “เจ้ายังทำไขสืออยู่อีก! ทุกถ้อยคำที่เจ้าพูดกับพวกเขา ข้าได้ยินได้เห็นทั้งหมดแล้ว! ทั้งที่เจ้าก็รู้อยู่ว่าของสิ่งนั้นสำคัญกับข้ามาก หากเจ้าอยากจะได้ เหตุใดไม่พูดกับข้าตรงๆ ตลอดมาข้าเห็นเจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุดและไว้เนื้อเชื่อใจเจ้ายิ่งกว่าใคร เพราะเหตุใดเจ้าต้องหลอกลวงข้าด้วย!”
ซูเพียนจื่อเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อยู่ดีๆ ยังมาถูกสหายร้องไห้ต่อว่าเป็นชุดด้วยคำพูดที่ตนเองจับต้นชนปลายไม่ถูกอีก นางจึงอดไม่ได้ที่จะมีน้ำโหขึ้นมาเช่นกัน “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ และข้าก็ไม่เคยหลอกเอาของสำคัญอะไรจากเจ้าด้วย ข้าได้พูดคุยกับใครเสียที่ไหน เจ้าไปเห็นอะไรมากันแน่ ก่อนที่จะแยกแยะเรื่องราวได้กระจ่าง เจ้าช่วยใช้สมองสักนิด อย่ามัวแต่ใช้อารมณ์จะได้หรือไม่”
ซูเจินเจินเบิกตาโตมองซูเพียนจื่ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งซูเจินเจินจึงหมุนตัววิ่งกลับเรือนไม้ไผ่หลังเล็กของตนไปโดยไม่พูดสักคำ หลังจากประตูใหญ่ถูกสะบัดปิดดังปังก็ไม่มีเสียงอื่นเล็ดลอดมาอีกแม้สักนิดเดียว
ซูเพียนจื่อยืนเหม่ออยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้าเดินเข้าเรือนไปก่อไฟหุงข้าว