ฝูอวิ๋นเอ่ยขึ้นทันทีที่ก้มศีรษะมุดเข้าเรือนมา “มือของท่าน…” ด้วยสภาพของซูเพียนจื่อในวันนี้ไม่เหมาะที่จะใช้งานมือทั้งสองข้างอีกเป็นอันขาด
ซูเพียนจื่อยิ้มให้มันก่อนตอบ “ข้าจะระวัง อย่างไรเสียจะไม่กินข้าวก็ไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะเอาของเหลือมาอุ่นกิน จะไม่ให้มือถูกน้ำและก็จะไม่หักโหมเกินไป”
ฝูอวิ๋นสะบัดศีรษะแล้วขานรับ “ก็ได้ ว่าแต่ท่านไม่แปลกใจหรือ เหตุใดจู่ๆ ซูเจินเจินจึงมาใส่อารมณ์กับท่าน”
แววเยียบเย็นฉายวาบขึ้นที่ก้นบึ้งดวงตาของซูเพียนจื่อ “มีอะไรน่าแปลกใจเล่า ไม่พ้นมีใครสักคนสวมรอยเป็นข้าไปหลอกเอาของบางอย่างมาจากนาง ซ้ำจงใจให้นางจับได้ก็เท่านั้น”
“ในเมื่อรู้ว่ามีคนให้ร้ายท่าน เหตุใดจึงไม่ชี้แจง” ฝูอวิ๋นขัดเคืองใจอยู่บ้าง
“นางกำลังโกรธอยู่ ชี้แจงไปมีประโยชน์อะไร ใช่ว่าตอนนี้ข้ามีหลักฐานที่มีน้ำหนักพอจะหยิบออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้เสียหน่อย อีกอย่างไม่กี่วันข้างหน้าก็คือวันสอบย่อยแล้ว คนที่ให้ร้ายข้าก็คงมุ่งหวังจะให้ข้าเสียใจเสียสมาธิด้วยเรื่องนี้นี่ล่ะ แล้วเหตุใดข้าจะต้องให้พวกเขาสมหวังด้วย”
ถูกสหายเข้าใจผิดอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ใช่ว่าซูเพียนจื่อไม่เสียใจ ทว่าเมื่อเยือกเย็นลงแล้ว นางก็รู้สึกได้ว่าหากจะคลี่คลายเรื่องนี้ตนไม่อาจใจร้อน
เมื่อเช้าตอนที่ซูเจินเจินส่งนางกับฝูอวิ๋นออกไปยังไม่มีอะไรผิดปกติ ซูเจินเจินหลงกลถูกผู้อื่นหลอกจะต้องเกิดขึ้นระหว่างที่นางกับฝูอวิ๋นเตรียมการอยู่ในป่าสำหรับการสอบย่อยในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเป็นแน่ ตลอดช่วงเวลานั้นมีเพียงฝูอวิ๋นที่ยืนยันได้ว่านางไม่ได้กลับมาหลอกซูเจินเจิน
ทว่าฝูอวิ๋นคืออาชาเทพที่รับนางเป็นเจ้านายแล้ว คำยืนยันของมันซูเจินเจินย่อมจะไม่เชื่อถือ พูดไปก็ป่วยการอยู่ดี
ฝูอวิ๋นเอียงศีรษะมองซูเพียนจื่อ แสงไฟจากในเตาฟืนฉายส่องให้เค้าโครงดวงหน้าของนางยิ่งแจ่มชัดเป็นพิเศษ เด็กสาวที่ยังอายุไม่ถึงสิบหกปีผู้หนึ่งกลับมีสติอันเยือกเย็น มีความเฉยเมยที่เกินวัย จนถึงขั้นเจนโลกแล้วก็ว่าได้
ไม่ต้องถามก็รู้ว่านี่เป็นเพราะนางเคยประจักษ์มาแล้วอย่างโชกโชน ทั้งรสชาติของความเหน็บหนาวและอบอุ่น ทั้งจิตใจคนที่ยากแท้หยั่งถึง นางจึงได้มีทั้งความคิดอ่านและหัวจิตหัวใจที่ไม่แพ้ผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ
ฝูอวิ๋นนิ่งมองนางอยู่สักพักจึงเอ่ยขึ้นในที่สุด “ก็ได้ ในเมื่อท่านคิดดีแล้ว ข้าก็จะไม่พูดมากอีก คืนนี้ท่านก็พักผ่อนเร็วหน่อยแล้วกัน”
เมื่อมันพูดจบพลันถอยออกจากเรือนไป จากนั้นกระพือปีกบินเข้าสู่ป่าทึบผืนหนึ่งที่อยู่บนเขา
ภายในป่าทึบอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร ความมืดสลัวไม่ได้ทำให้ฝีเท้าของฝูอวิ๋นชักช้าลงแม้เพียงนิด ครู่เดียวเท่านั้นมันก็เดินไปถึงเบื้องหน้าศิลายักษ์ก้อนหนึ่ง แสงจันทร์สุกสกาวหนึ่งลำเล็ดลอดช่องว่างของกิ่งใบ ฉายลงมาบนศิลาก้อนนี้พอดิบพอดี จึงทำให้แลเห็นได้เลาๆ ว่าบนนั้นมีรอยครูดอันสับสนขีดข่วนอยู่มากมาย
ฝูอวิ๋นนิ่งมองศิลาก้อนนี้อยู่ชั่วครู่ก็ทอดถอนใจยาวแล้วพึมพำกับตนเอง “ข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าควรจะทำอย่างไรกันแน่…”
ศิลายักษ์ยังคงเป็นศิลายักษ์ ทั้งไม่ได้ให้คำตอบแก่ฝูอวิ๋น ทั้งไม่ได้ปลอบโยนมันแต่อย่างใด เพียงแต่อาบร่างอยู่ภายใต้แสงจันทร์อย่างเงียบเชียบ และนิ่งตระหง่านไม่ไหวติงดังเดิม
เผาะ! เผาะ!
หยาดน้ำวาวใสหลายหยดที่หลั่งรินออกจากดวงตาของฝูอวิ๋นนั้นร่วงลงกระทบผิวศิลาแล้วกระเซ็นออก จากนั้นจึงค่อยๆ ไหลซึมเข้าสู่รอยขูดขีดที่สะเปะสะปะนั่น จนกระทั่งแห้งหายไปในที่สุด