ไม่ว่าจะผ่านวันคืนด้วยอารมณ์เช่นไร วันพรุ่งก็ยังคงมาเยือนตามปกติ
หลังจากที่ซูเพียนจื่อกับฝูอวิ๋นช่วยกันเตรียมสอบอย่างเคร่งเครียด วันสอบย่อยสนามที่สิบเจ็ดก็มาถึงจนได้
นอกตำหนักที่ใช้เป็นสนามสอบมีผู้คนมารายล้อมเนืองแน่นตั้งแต่เช้า ทุกคนล้วนกำลังคาดเดากันว่าซูเพียนจื่อจะมาหรือไม่ มาแล้วยังจะคว้าคะแนนเต็มได้อย่างเหนือความคาดหมายอีกหรือเปล่า และนางจะใช้วิธีพิสดารอะไรมาทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้นี้ให้ลุล่วง
ซูเทียนหวากับซูม่านม่านยืนสบตาส่งยิ้มให้กันอยู่ท่ามกลางเหล่าศิษย์ระดับต้น พวกเขาสืบได้ข่าวมาว่าซูเจินเจินได้ย้ายออกจากเรือนไม้ไผ่หลังเล็กที่อยู่ติดกับซูเพียนจื่อ เปลี่ยนไปอยู่ในเขตที่พักอีกแห่งของศิษย์ระดับต้นแล้ว
คาดว่าตอนนี้ซูเพียนจื่อคงทั้งทุกข์ทนทั้งน้อยใจ และนึกสงสัยอยากจะรู้ให้ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ภายใต้สภาพจิตใจเช่นนี้ ต่อให้นางฝืนมาเข้าสอบก็ไม่มีทางจะทำคะแนนได้ดีเท่าไรนักหรอก
หัวข้อการสอบย่อยในสนามที่สิบเจ็ดคือฝีมือด้านการแปลงโฉมปลอมตัว ศิษย์ที่เข้าสอบทั้งหมดจะมีเวลาเพียงหนึ่งเค่อ ในการแปลงลักษณะจำเพาะของโฉมหน้า สุ้มเสียง และรูปร่าง ผลลัพธ์ต้องถึงระดับที่ผู้คุมสอบทั้งห้าไม่อาจจดจำฐานะที่แท้จริงออกได้ในปราดเดียว ทั้งต้องคงสภาพไว้ภายใต้การเฝ้าคุมของผู้คุมสอบทั้งห้านานครึ่งชั่วยามขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน หากคงสภาพได้ถึงหนึ่งชั่วยามก็จะได้คะแนนเต็ม
ขณะเดียวกันหากมีผู้คุมสอบเกินกว่าสองในห้าคนจดจำฐานะที่แท้จริงของผู้เข้าสอบได้ในปราดเดียวก็จะถือว่าสอบตก
การแปลงโฉมปลอมตัวนั้นต่อให้เป็นคนธรรมดาก็สามารถทำได้ ทว่าต้องเสียเวลานานมากในการปรับแต่งรูปโฉม จึงไม่มีทางทำสำเร็จในเวลาเพียงหนึ่งเค่อเป็นอันขาด อีกทั้งเหล่าผู้คุมสอบขั้นต่ำก็เป็นศิษย์ระดับกลาง แต่ละคนสายตาเฉียบคมยิ่ง อุปกรณ์จำพวกชาด แป้งผัดหน้า และสีสำหรับแต่งหน้านั้นล้วนไม่อาจตบตาพวกเขาได้เลย
ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังวัตรก็เถอะ การจะคงสภาพที่แปลงโฉมเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองลมปราณไม่ใช่น้อย ดังนั้นการแปลงโฉมโดยอาศัยลมปราณนั้น หากยิ่งปรับเปลี่ยนขนานใหญ่หรือหลายจุดมากเท่าไร ลมปราณที่ต้องสูญเสียไปก็จะยิ่งมากตามไปด้วย
ส่วนใหญ่แล้วผู้เข้าสอบต้องมีพลังวัตรอย่างน้อยถึงขั้นถอดรูประดับสูงสุดจึงจะสอบผ่านได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
ท่ามกลางความสงสัยใคร่รู้และการถกความเห็นกันของผู้คนทั้งหลาย ในที่สุดซูเพียนจื่อก็เดินตรงมาทีละก้าว พร้อมกับหิ้วหีบใบใหญ่ขนาดสูงเท่าครึ่งตัวนางมาด้วยหนึ่งใบ
นางแลดูซูบเซียวอยู่บ้าง ทว่าสองตาเจิดจ้าเปี่ยมล้นด้วยความฮึกเหิมที่จะต่อสู้ เงาร่างอันบอบบางนั้นดูมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีอาการกลัดกลุ้มหมองเศร้าที่ซูเทียนหวากับซูม่านม่านคาดหวังจะได้เห็นแม้แต่น้อย
ซูเทียนหวากับซูม่านม่านขมวดหัวคิ้วพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดแนะ ต่างส่งสายตาประหลาดใจให้กันแล้วไม่พูดไม่จาอีก
มีคนไม่น้อยใช้แววตาชอบกลมองสังเกตไปมาระหว่างซูเทียนหวากับซูเพียนจื่อ นับตั้งแต่เด็กสาวผู้นี้ปรากฏตัวในสนามสอบศิษย์ระดับต้นของถ้ำพันจิ้งจอก ซูเทียนหวาผู้เกิดมามีพร้อมในทุกสิ่งและเดิมทีแสนจะมีหน้ามีตานั้นก็ถูกรัศมีอันจับตาของนางกดข่มเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
วันนี้คือการร่วมสนามสอบเป็นครั้งที่สามของคนทั้งสองแล้ว หากซูเทียนหวายังคงปราชัยอีก เช่นนั้นคำเรียกขานว่า ‘อัจฉริยะ’ นี้เกรงว่ากระทั่งตัวเขาเองก็คงไม่มีหน้าจะเอ่ยถึงอีกต่อไป
ซูเทียนหวาย่อมเข้าใจความนัยในแววตาเหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงหนุ่มน้อยอายุสิบกว่าปี อีกทั้งสิ่งที่ประสบมาตั้งแต่เล็กจนโตล้วนมีแต่เสียงปรบมือกับคำชื่นชม เมื่อแววตาคู่แล้วคู่เล่าที่แฝงนัยว่ากำลังรอชมเรื่องสนุกอยู่จับมาบนร่างของเขา หนุ่มน้อยก็เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าถูกเข็มทิ่มตำ ในใจจึงหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าบึ้งตึงไม่มีแก่ใจจะเดินไปพูดอะไรกับซูเพียนจื่ออีกแล้ว
เขาต้องชนะ! เขาจะต้องทวงเอาเกียรติภูมิที่เป็นของตนกลับคืนมาจากเด็กสาวผู้นี้ให้จงได้!