บทที่หก
“ซูจางศิษย์ของผู้อาวุโสรองซู? เขาน่ะหรือจะรับมือยากเท่าท่านไปได้” ฝูอวิ๋นเอ่ยกลั้วหัวเราะร่วน
“แน่นอนว่าไม่!” ซูเพียนจื่อหัวเราะคิกคักในแบบฉบับของคนโฉด
ซูจางขึ้นชื่อเรื่องเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใคร ดูจากที่เขาชี้ตัวซูเทียนหวาซึ่งแปลงโฉมแล้วอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อยก็รู้ได้ อีกอย่างเขาชิงชังพฤติกรรมคดโกงเป็นที่สุด เมื่อคนที่มุ่งเดินออกนอกลู่นอกทางเช่นซูเพียนจื่อตกอยู่ในมือของเขา นางย่อมไม่อาจผ่านด่านอย่างผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับผู้คุมสอบคนอื่นๆ เป็นแน่
ภายใต้การเฝ้ารอของผู้คนทั้งหลาย ในที่สุดวันสอบย่อยสนามที่สิบเก้าก็มาถึงจนได้
พอซูจางเดินหน้าขรึมมาถึงหน้าสนามสอบก็ประกาศด้วยเสียงอันเยียบเย็น “ผู้เข้าสอบทุกคนจงนำสิ่งของอื่นๆ นอกเหนือจากเครื่องแต่งกายบนร่างออกมาให้หมด จากนั้นจึงจะเข้าสอบในสนามสอบย่อยได้!”
ขณะที่ซูจางเอ่ยวาจานี้ สายตาก็จับตรงไปที่ร่างของซูเพียนจื่อ
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เหล่าศิษย์ที่มาชมการสอบต่างก็มองซูเพียนจื่ออยู่เช่นกัน ทุกคนล้วนรู้ดีว่านี่คือการป้องกันไม่ให้นางใช้วิธีพิสดารอะไรออกมาโกงสอบได้อีก
ซูเพียนจื่อยิ้มตาหยีอย่างไม่สะทกสะท้าน กลับกลายเป็นผู้เข้าสอบหลายคนด้านข้างที่มีสีหน้าหม่นหมองดุจขี้เถ้า
รอจนทุกคนหยิบสิ่งของอื่นๆ ที่พกติดตัวอยู่ออกมาวางบนพื้นตรงหน้าทีละชิ้น ผู้คนไม่น้อยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะครืนอย่างยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ที่แท้ผู้เข้าสอบเหล่านั้นต่างได้รับแรงบันดาลใจมาจากการสอบย่อยในสนามที่แล้วของซูเพียนจื่อ บนร่างจึงพกพาของกินจำพวกลูกสนที่เตียวเจาะภูผาชอบกินเป็นที่สุดมาด้วย ตั้งใจว่าจะใช้ของกินเหล่านี้เบี่ยงเบนความสนใจของเตียวเจาะภูผา พวกมันจะได้ไม่มาวิ่งไล่
ผิดกับข้าวของที่ซูเพียนจื่อหยิบออกมาซึ่งล้วนแต่สามัญธรรมดายิ่ง ไม่ได้มีสิ่งของพิเศษตามความคาดหมายของคนทั้งหมดแต่อย่างใด
ซูจางตวัดสายตาไปเชือดเฉือนผู้เข้าสอบที่มุ่งหมายจะคดโกงเหล่านั้นอย่างดุดัน ก่อนจะพลันหันขวับมาเอ่ยกับซูเพียนจื่อ “ของที่อยู่บนคอเจ้าคืออะไร”
ซูเพียนจื่อลูบคลำลำคอ นั่นคือจี้ไม้แกะสลักที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้นาง นางจึงปลดจี้นั้นออกมาแล้วเรียกฝูอวิ๋นมาเอ่ยกำชับ “เจ้าเก็บรักษาให้ข้าดีๆ เชียว”
ฝูอวิ๋นอ้าปากคาบจี้ไม้ไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินถอยห่างไปหลายก้าว
ซูจางกวาดมองซูเพียนจื่อซ้ำอยู่หลายรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในที่สุดก็พึงพอใจหันหน้าไปประกาศเริ่มการสอบย่อยได้เสียที
ภายในตำหนักที่ใช้เป็นสนามสอบจะมีผู้เข้าสอบเข้าไปครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น ซูจางรวมทั้งผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ล้วนชมดูอยู่นอกตำหนัก
ซูเพียนจื่อมองดูความเร็วในการเคลื่อนที่ของศิษย์แต่ละคนที่เข้าไปในตำหนักแล้ว ต่อให้เป็นคนที่ผลงานแย่ที่สุดก็ยังรวดเร็วเสียจนนางไม่อาจเห็นร่างได้ชัดเจน นางมิอาจไม่ยอมรับว่าเมื่อไร้ซึ่งพลังวัตร ตนก็เทียบพวกเขาได้ยากมากจริงๆ