ช่วงแรกเริ่มนางอาจใช้สติปัญญาไปขับเคี่ยวกับพวกเขาได้สักยก ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยไป ความห่างชั้นในระดับฝีมือที่แท้จริงของสองฝ่ายก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้นางเพียรพยายามสักแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
ต่อหน้าผู้ที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง กลอุบายทั้งปวงก็ล้วนแต่เปล่าประโยชน์
ภายใต้การไล่ล่าของเตียวเจาะภูผา ผู้เข้าสอบหลายคนก่อนหน้าซูเพียนจื่อนั้นมีเพียงสองคนที่ฝืนยืนหยัดจนพ้นเวลาครึ่งเค่อไปได้ ไม่ช้าก็ถึงคราวที่นางจะลงสนามแล้ว
สาวน้อยจึงเดินเชิดหน้ายืดอกเข้าตำหนักไปท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนนับไม่ถ้วน
เหง่ง!
สิ้นเสียงย่ำระฆัง ซูจางก็กระตุกเชือกเพื่อปล่อยเตียวเจาะภูผาที่อยู่ในกรงออกไป จากนั้นเงาร่างสีดำสนิทสายหนึ่งก็พุ่งพรวดไปหาซูเพียนจื่อดุจสายฟ้าแลบ
ทว่าซูเพียนจื่อกลับไม่แม้แต่จะขยับปลายเท้า เมื่อเห็นว่าเพียงพริบตาเดียวเงาร่างสีดำสายนั้นก็อยู่ห่างจากนางไม่ถึงหนึ่งจั้ง* แล้ว ศิษย์ไม่น้อยที่ล้อมชมอยู่นอกตำหนักก็ร้องอุทานออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ตอนนี้เองเรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นอีกครั้งโดยไม่ทำให้ผู้คนต้องผิดหวัง เตียวเจาะภูผาถึงกับไม่ได้รุกไล่ต่อ หนำซ้ำยังหันหลังขวับออกวิ่งด้วยความเร็วที่สูงยิ่งกว่าเดิม เพียงอึดใจเดียวมันก็วิ่งพรวดไปถึงมุมหนึ่งของตำหนัก จากนั้นก็กลับตัวมาจับจ้องซูเพียนจื่อตาเขม็งโดยไม่ยอมเข้าไปใกล้นางอีกเลย
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
คนทั้งหมดที่อยู่นอกตำหนักต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความฉงนงุนงงยิ่ง
ซูจางหางตาเขม่นตุบๆ ในใจก็ใคร่ครวญว่าที่แท้ตนตกหล่นตรงที่ใดจึงทำให้เด็กสาวผู้นี้โกงสอบต่อหน้าธารกำนัลสำเร็จอีกครั้งจนได้
เวลาหนึ่งเค่อผ่านไปอย่างน่าอึดอัดภายใต้ความเงียบของซูจางกับเสียงถกความเห็นของเหล่าศิษย์ อันที่จริงนับแต่ชั่วขณะที่เตียวเจาะภูผาเลิกไล่ล่าซูเพียนจื่อและเผยอาการหวาดกลัวว่านางจะเข้าไปใกล้มัน คนทั้งหมดก็รู้แล้วว่าเวลาหนึ่งเค่อนี้จะรอหรือไม่รอ ผลที่ออกมาก็มีค่าเท่ากัน…ซูเพียนจื่อจะต้องคว้าคะแนนเต็มได้อีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเสียงระฆังสิ้นสุดการสอบดังขึ้น ซูเพียนจื่อก็เดินก้าวยาวออกจากตำหนักมารอให้ซูจางประกาศผล
ซูจางจับจ้องนางพลางกล่าว “บนเสื้อผ้าของเจ้ามีน้ำเมือกจากตัวของ ‘งูสองหาง’ ฉาบอยู่”
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ นั้นเพียงพอที่เขาจะนึกออกว่าซูเพียนจื่อน่าจะใช้วิธีใดโกงสอบ ไม่เช่นนั้นก็เสียทีที่เขาเป็นบุคคลชั้นยอดผู้มีนามกระเดื่องในหมู่ศิษย์ระดับกลางแล้ว
ซูเพียนจื่อผงกศีรษะยอมรับ “ใช่เจ้าค่ะ”
“ถึงคราวเผชิญกับศัตรูที่แท้จริง เจ้ายังจะหนีรอดได้อยู่อีกหรือ” ซูจางขมวดคิ้วกล่าว
“นั่นก็ต้องดูว่าเผชิญกับใคร แล้วข้ามีการเตรียมตัวเพียงพอหรือไม่”
ซูจางพลันอับจนถ้อยคำ พักใหญ่จึงค่อยเอ่ยเสียงเย็น “เอาเปรียบด้วยกลโกง”
ซูเพียนจื่อคลี่ยิ้มกล่าวแย้ง “พวกเราสกุลซูคือตระกูลสิบแปดมงกุฎ…ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ซูจางไร้คำพูดไปในทันที
ก็จริงของนาง…หากไม่เอาเปรียบด้วยกลโกงยังจะนับเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของตระกูลสิบแปดมงกุฎได้อย่างไรกัน
แต่ว่า…การสอบสนามนี้จะทดสอบเรื่องความเร็วในการหลบหนีต่างหาก…