แปะๆๆ!
เสียงปรบมือที่ก้องกังวานพลันดังมา โจวโม่ศิษย์สายตรงคนโตของประมุขซูถิงหยวนเดินออกจากฝูงชนมาอมยิ้มกล่าวกับคนทั้งสอง “เมื่อไม่อาจสู้ศัตรูด้วยกำลัง ก็พึงเอาชัยด้วยปัญญา ไม่เลวๆ! คุณหนูเพียนจื่อสมแล้วที่เป็นบุตรีของศิษย์พี่หู่หลี่”
ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างซูจางกับโจวโม่ผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ลุงนั้นนับว่าไม่เลวทีเดียว ซูจางจึงอดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองอยู่บ้าง เพราะนึกไม่ถึงว่าโจวโม่จะลำเอียงช่วยซูเพียนจื่อทันทีที่ปรากฏตัว
โจวโม่เห็นสีหน้าของซูจางก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ เขาจึงเอ่ยต่อปนยิ้ม “ขอเพียงหนีรอดได้สำเร็จ จะด้วยความเร็วหรือว่าด้วยเล่ห์กล…มันสำคัญมากนักหรือ ศิษย์หลานซู นางสามารถตบตาเจ้าที่เป็นศิษย์ระดับกลางได้ หรือว่านางไม่สมควรที่จะได้คะแนนเต็ม?”
ซูจางพอได้อีกฝ่ายเตือนสติก็ร้องอยู่ในใจว่า ‘น่าละอายนัก’ เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วประกาศผลโดยไม่รอช้า “ซูเพียนจื่อ ผลการสอบย่อยสนามที่สิบเก้าของศิษย์ระดับต้น…ได้คะแนนเต็ม”
เหล่าศิษย์ทั้งสนามต่างโห่ร้องยินดีเสียงดังกระหึ่มอย่างห้ามไม่อยู่ ยามนี้ความเฉลียวฉลาดมากไหวพริบของซูเพียนจื่อทำให้พวกเขายอมรับนับถือจนหมดหัวใจแล้ว
ตามบันทึกประวัติสกุลซูที่เขียนขึ้นโดยคนสกุลซูรุ่นหลังนั้น การปรากฏตัวของซูเพียนจื่อไม่เพียงทำคะแนนเต็มเป็นประวัติการณ์ให้ผู้อื่นอุทานชื่นชมครั้งแล้วครั้งเล่า หากยังปลุกกระแสใหม่ขึ้นในหมู่ศิษย์สกุลซู…ทำให้การขับเคี่ยวกับผู้คุมสอบกลายเป็นความสนุกที่ไม่รู้จบ กระทั่งสกุลซูที่ร้อยปีมานี้ให้ความสำคัญกับพลังวัตรจนเกินไปยังถึงกับเริ่มหันมาปรับแก้สิ่งที่ควรเน้นหนักในการบ่มเพาะศิษย์กันเสียใหม่
ซูเพียนจื่อรับจี้ไม้แกะสลักคืนจากปากของฝูอวิ๋น เมื่อคล้องคอดังเดิมแล้วนางก็คารวะลาซูจางกับโจวโม่และเดินทางกลับ
ระหว่างทางฝูอวิ๋นเอ่ยชมซูเพียนจื่ออย่างหาได้ยาก
“ตำราเหล่านั้นท่านไม่ได้อ่านเสียเปล่าจริงๆ แม้แต่งูสองหางที่เป็นศัตรูในธรรมชาติของเตียวเจาะภูผาท่านก็ยังรู้จัก”
“ต้องขอบใจเจ้าด้วยที่เป็นเพื่อนข้าไปเสาะหางูสองหาง จุๆ ข้าแค่นึกถึงงูสองหางตัวนั้นก็ยังขยาดอยู่เลย ลำตัวของมันถึงกับล่ำกว่าต้นขาของข้าเสียอีก” สาวน้อยนึกถึงขั้นตอนการจับงูแล้วในใจก็ยังผวาไม่หาย
“ยังดีที่เหลือการสอบย่อยอีกแค่สนามเดียวเท่านั้น เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าถูกเขย่าขวัญจนเกิดอาการหลอนแล้ว เมื่อครู่ตอนอยู่ในสนามสอบ ข้าถึงกับได้ยินเหมือนมีใครพูดอยู่ที่ข้างๆ หูเลยนะ” ซูเพียนจื่อถอนใจกล่าว
ฝูอวิ๋นตัวแข็งทื่อไปวูบหนึ่ง ก่อนจะถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจ “เสียงนั้นพูดว่าอะไรบ้าง แล้วตอนนี้ท่านยังได้ยินอยู่อีกหรือไม่”
ซูเพียนจื่อส่ายหน้า “ข้าฟังได้ไม่ชัดหรอก ตอนนี้ก็ไม่ได้ยินแล้วล่ะ บางทีคงเพราะช่วงนี้ข้าเคร่งเครียดมากเกินไปกระมัง”
“น่าจะใช่…” ฝูอวิ๋นเอ่ยคล้อยตามทันที ก่อนจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาถกเรื่องการสอบย่อยสนามสุดท้ายกับซูเพียนจื่อแทน
ผู้ที่เข้าร่วมการสอบย่อยสนามที่ยี่สิบของศิษย์ระดับต้นได้ย่อมจะไม่มีสักคนที่เป็นผู้อ่อนแอ นอกจากซูเพียนจื่อแล้ว คนที่อ่อนด้อยที่สุดก็ยังมีพลังวัตรขั้นถอดรูประดับสูงสุด อีกทั้งการสอบย่อยสนามนี้ยังเป็นการสอบเลื่อนขั้นครั้งสุดท้ายของศิษย์ระดับต้น ดังนั้นย่อมจะไม่ใช่ง่ายๆ
และแล้ววันสอบก็มาถึง พอซูเพียนจื่อกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ เข้าไปในตำหนัก ผู้คุมสอบก็เอ่ยกับคนทั้งหมดด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึมจริงจัง