“การสอบในวันนี้อนุญาตให้พวกเจ้าใช้ได้ทุกวิธีที่จะป้องกันไม่ให้ถูกสัตว์ในป่าพบตัว แต่ว่าพวกเจ้าก็ต้องระวังอย่าได้ไปตอแยพวกมันเด็ดขาด สัตว์ป่าหากถูกกระตุ้นด้วยเลือดสดๆ ไม่ว่าจะเป็นเลือดของพวกเจ้าหรือว่าของพวกมันเอง พวกมันก็จะคลุ้มคลั่งคุกคามชีวิตของพวกเจ้าในทันที”
เรื่องนี้ฝูอวิ๋นกำชับนางตั้งแต่ก่อนเดินทางแล้ว ตอนนั้นนางเองก็มีลางสังหรณ์ถึงอันตรายบางอย่างผุดวาบขึ้นในใจ ดังนั้นจึงระวังตัวเป็นพิเศษและเตรียมแผนเอาตัวรอดเพิ่มมาอีกหลายอย่าง
ผู้คุมสอบเห็นว่าศิษย์ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด บ่งชัดว่าได้ฟังคำเตือนเข้าหูแล้ว เขาจึงผงกศีรษะกล่าวต่อ “หากพบว่ารูปการณ์ไม่เข้าท่าก็จงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ข้ากับผู้ช่วยคุมสอบคนอื่นๆ จะรุดไปช่วยพวกเจ้า ผู้ที่อยู่รอดปลอดภัยในป่าเป็นเวลาหกชั่วยามจึงจะนับว่าสอบผ่าน ผู้ที่อยู่ครบหนึ่งวันจะได้คะแนนเต็ม”
ขณะที่พูดประโยคสุดท้าย สายตาของผู้คุมสอบกับศิษย์คนอื่นๆ ล้วนสาดไปมองซูเพียนจื่อโดยพร้อมเพรียง…หากเด็กสาวผู้นี้คว้าคะแนนเต็มในการสอบสนามนี้ได้อีกล่ะก็ นางก็จะกลายเป็นศิษย์ระดับต้นที่มีผลคะแนนดีเยี่ยมที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยิ่งเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์กับพลังวัตร แต่กลับเลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลางได้สำเร็จ
ศิษย์ที่มาเข้าสอบผู้หนึ่งมีแววลังเลผุดวาบขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะสะกดข่มลงไปอย่างรวดเร็ว มือของเขาลอบกำเป็นหมัดแน่น มุมปากก็เผยรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียม
เพียงแต่ความสนใจของคนทั้งหมดล้วนจับอยู่ที่ร่างของซูเพียนจื่อ จึงไม่มีใครสักคนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา
“เอาล่ะ พวกเจ้าแต่ละคนมีเวลาเตรียมตัวสองเค่อ จากนั้นเมื่อเสียงย่ำระฆังดังขึ้นก็เข้าไปกันได้” ผู้คุมสอบประกาศ
ศิษย์ผู้เข้าสอบทั้งเจ็ดคนพากันหยิบข้าวของต่างๆ ที่ตนเตรียมไว้ออกมาตรวจนับอย่างจริงจัง แม้ยามประสบภัยจะขอความช่วยเหลือได้ก็จริง ทว่าสัตว์ในป่าที่อยู่หลังตำหนักล้วนขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย ใครจะรู้ได้ว่าผู้คุมสอบจะรุดมาถึงทันกาลหรือไม่
ดูจากการสอบในอดีต เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็มักจะมีผู้เข้าสอบบ้างเจ็บบ้างตายอยู่ในป่า นี่จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยทีเดียว
เนื่องจากการสอบย่อยในวันนี้เกิดขึ้นภายในป่าทึบที่อยู่หลังตำหนัก ศิษย์คนอื่นๆ ไม่อาจเห็นเหตุการณ์ในสนามสอบได้ ดังนั้นผู้ที่มาจึงไม่มากแต่อย่างใด ส่งผลให้ทั้งในและนอกตำหนักเงียบเชียบไปทั่วบริเวณ
เหง่ง!
เมื่อเสียงระฆังอันคุ้นหูดังมา ผู้คุมสอบก็ยืนขึ้นเอ่ยกับศิษย์เจ็ดคนในตำหนักว่า “เอาล่ะ การสอบเริ่มต้นแล้ว พวกเจ้าทุกคนเข้าไปเถอะ!”
ประตูบานใหญ่ที่อยู่ฝั่งด้านในของตัวตำหนักถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสีเขียวขจีหนาตาที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นซูเพียนจื่อกับผู้เข้าสอบอีกหกคนก็เดินเรียงแถวผ่านประตูบานนั้นเข้าสู่ด้านในของป่าทึบ
ขณะเดียวกันนั้น เสียงกระพือปีกพึ่บพั่บของอาชาเทพก็ดังมาจากด้านนอกของซุ้มประตูทางขึ้นเขาถ้ำพันจิ้งจอก ผู้เฒ่าสามคนพลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผู้ติดตามอีกหลายคนที่อ่อนวัยกว่า
เหล่าจินสัตว์เทพผู้พิทักษ์เขาถ้ำพันจิ้งจอกหมอบลงกับพื้นอย่างเชื่องเชื่อ “น้อมต้อนรับผู้อาวุโสทั้งสามกลับเขา”
ผู้อาวุโสทั้งสามขานรับดังอืมแล้วโบกมือให้ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังแยกย้ายไป จากนั้นพวกเขาก็ดึงเชือกบังเหียนด้วยสีหน้าอันเครียดขรึม ควบขี่อาชาเทพของตนทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังที่พักของประมุขซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา
พวกเขามาถึงได้ไม่นาน ผู้อาวุโสใหญ่หานกับผู้อาวุโสรองซูก็ถูกเชิญมายังที่พักของประมุขเช่นกัน