“สถานการณ์บนดินแดนพันเมฆาไม่สู้ดีนัก ตอนนี้สามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะที่มีสกุลเจิ้งเป็นผู้นำได้จับมือกันเป็นแนวร่วมในเบื้องต้นแล้ว คาดว่าภายในห้าปีพวกเขาจะนำพาตระกูลฝ่ายธรรมะอื่นๆ แห่กันมากำจัดตระกูลฝ่ายอธรรมทั้งหมด” ผู้อาวุโสสามโจวผู้มีจมูกโตสีแดงเหมือนจมูกตัวตลกกล่าวเสียงหนัก
ผู้อาวุโสรองซูเอ่ยแย้ง “พวกเขาก็พูดจาวางโตไปเรื่อย มีวันไหนด้วยหรือที่พวกเขาไม่ได้ร่ำร้องจะมากำราบพวกเรา แต่พันหมื่นปีที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะเคยทำสำเร็จสักที!”
ผู้อาวุโสห้าเฉินฝืนยิ้มกล่าว “ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนก่อน สามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะเริ่มทยอยมีบุตรหลานได้รับการยอมรับจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลของพวกเขาแล้ว นึกถึงไร้นามของพวกเราสกุลซูดูก็พอ…อานุภาพของวัตถุศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นไรท่านและข้าต่างก็รู้ดี”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ผู้อาวุโสใหญ่หานก็ทอดถอนใจยาว “หากคุณชายหู่หลี่ยังอยู่ ไม่แน่เขาอาจกลายเป็นเจ้าของไร้นามก็ได้ พวกเราก็จะไม่ต้องตกเป็นฝ่ายรอถูกกระทำอยู่เช่นนี้”
ผู้อาวุโสสามโจวกล่าว “ป่านนี้แล้วพูดเรื่องนี้ไปก็ไร้ความหมาย ออกไปครั้งนี้พวกเรายังลอบติดต่อกับตระกูลฝ่ายอธรรมที่เหลือด้วย ทว่าน่าแค้นใจนัก พวกเขาแต่ละคนล้วนมีท่าทีโลเลคลุมเครือ หากรอจนกระทั่งสามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะจับมือกันเหนียวแน่นเมื่อไร เกรงว่าทุกสิ่งจะสายเกินกาลแล้ว!”
เพียงนึกถึงท่าทีเฉไฉขอไปทีของตระกูลเหล่านั้น ผู้อาวุโสสามโจวก็เคืองแค้นไม่หาย
ผู้อาวุโสสี่หลี่ที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยปาก “ก็ไม่แน่หรอกว่าพวกเขาจะมีปัญญาจับมือกันเหนียวแน่นได้จริงๆ หึๆ พวกที่ยกหางตัวเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะก็ดีแต่ค่อนขอดพวกเราตระกูลฝ่ายอธรรมว่ามีจิตใจเลวทราม เจ้าเล่ห์ไร้ยางอาย แล้วพวกเขาเล่ามีคุณธรรมผ่าเผยแน่หรือไร เอ่ยถึงความเห็นแก่ตัวและน้ำนิ่งไหลลึกแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอย่างไหนที่น้อยไปกว่าฝ่ายเราเลยกระมัง”
สีหน้าของประมุขซูถิงหยวนแปรเปลี่ยนนิดๆ ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าตอนนี้พวกเขาเกิดความร้าวฉานกันภายในแล้ว?”
ผู้อาวุโสสี่หลี่ผงกศีรษะตอบ “ใช่ขอรับ ตามที่ข้ารู้มา ผู้ที่ได้เป็นเจ้าของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลนักปกครองสกุลเจิ้งก็คือเจิ้งเฮ่าอี้บุตรชายคนรองของประมุขสกุล บุตรชายคนนี้โดดเด่นไม่ธรรมดาเลย ทั้งที่ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุได้สิบเจ็ด แต่กลับมีพลังวัตรถึงขั้นชำระไขกระดูกระดับสูงสุดแล้ว จึงอาจเลื่อนไปขั้นเปลี่ยนเส้นลมปราณได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ตามที่ปรากฏบนจารึกหยกพันเมฆา เขายังกวาดอันดับหนึ่งของขั้นถอดรูป ขั้นเปลี่ยนกระดูก และขั้นชำระไขกระดูกมาแล้วทั้งสามขั้น เอ่ยถึงด้านคุณสมบัติจึงไม่ด้อยไปกว่าคุณชายหู่หลี่ในอดีตเด็ดขาด หากเขาก้าวหน้าต่อไปก็เป็นไปได้สูงที่เกียรติประวัติของคุณชายหู่หลี่จะถูกเขาโค่นลง”
‘จารึกหยกพันเมฆา’ ที่ผู้อาวุโสสี่หลี่เอ่ยถึงนั้นก็คือจารึกหยกขาวทั้งเจ็ดที่อยู่เชิงบรรพตเซียนพันเมฆาตรงใจกลางของดินแดนนั่นเอง บนนั้นจัดเรียงอันดับผู้ฝึกวิชาหนึ่งร้อยคนแรกของแต่ละขั้นพลังวัตรเอาไว้ ในสายตาของตระกูลโบราณขนาดใหญ่ต่างๆ แล้ว นี่ก็คือเกณฑ์อ้างอิงสำคัญอย่างหนึ่งที่จะใช้วัดศักยภาพของแต่ละตระกูล
ในอดีตซูหู่หลี่บิดาของซูเพียนจื่อเคยกวาดอันดับหนึ่งของขั้นถอดรูป ขั้นเปลี่ยนกระดูก ขั้นชำระไขกระดูก และขั้นเปลี่ยนเส้นลมปราณมาแล้วทั้งสี่ขั้น ในตอนนั้นก็ทำให้ตระกูลทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมจำนวนไม่น้อยมองเขม่นไม่เลิกรา