ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 1
บทที่ 1
ปีที่ยี่สิบสี่รัชศกเฉียนเต๋อแห่งราชวงศ์ต้าผิงได้ถูกกำหนดให้เป็นปีที่ต่างไปจากปกติธรรมดา
ชุนจื้อ เพิ่งผ่านไป ข่าวสามข่าวที่แพร่มาจากเมืองหลวงก็ทำให้สิบเก้าเมืองและอำเภอของเฉาอันเป่ยลู่โกลาหลราวกับโจ๊กหม้อหนึ่ง ขึ้นมาทันที หัวถนนท้ายตรอกโรงน้ำชา หอสุรา ทุกหนแห่งล้วนมีแต่คนพูดถึงกันไม่หยุด
เรื่องที่หนึ่ง…ฮ่องเต้หญิงมีราชโองการตอบรับคำร้องขอของทูตแห่งแคว้นเป่ยเจี่ยน เปิดตลาดแลกเปลี่ยนการค้าที่ชายแดนหลายเมืองระหว่างสองแคว้น ในจำนวนนั้นลำพังเฉาอันเป่ยลู่มณฑลเดียวก็ครอบครองไปถึงแปดเมืองเต็มๆ แล้ว
เรื่องที่สอง…การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ ระดับมณฑลของสตรีในครั้งนี้กำลังจะเริ่มขึ้น ราชสำนักได้แต่งตั้งราชบัณฑิตเสิ่นผู้เป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาทซึ่งความเรียงของเขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีมาที่เฉาอันเป่ยลู่เพื่อจัดการการสอบ หลังจากเคยดำรงตำแหน่งรองผู้คุมสอบของกรมพิธีการในการสอบเอินเคอ ของสตรีครั้งแรกสุดตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน นี่นับเป็นครั้งแรกที่ราชบัณฑิตเสิ่นเป็นฝ่ายทูลขอราชโองการ ยินดีที่จะทุ่มเทกำลังเข้ามามีส่วนร่วมในการสอบจิ้นซื่อของสตรี
เรื่องที่สาม…พระโอรสเพียงพระองค์เดียวของฮ่องเต้หญิง องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าผิงที่ประชาราษฎร์ต่างจับตามอง กำลังจะแต่งตั้งพระชายาแล้ว
ข่าวสารสามเรื่องที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยแพร่กระจายมาพร้อมกัน ทำให้อารมณ์ฝูงชนชาวเฉาอันที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาเป็นเวลานานเหล่านี้พลุ่งพล่านสั่นไหว ทางหนึ่งก็ถูไม้ถูมือเตรียมจะทำกำไรก้อนโตจากตลาดแลกเปลี่ยนการค้าในวันหน้า ทางหนึ่งก็ชะเง้อคอเฝ้ารอที่จะได้เห็นราชบัณฑิตเสิ่นผู้นั้นที่เล่าลือกันว่ารูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร อีกทางหนึ่งก็แอบคาดเดาด้วยไม่รู้บุตรสาวผู้มีบรรดาศักดิ์ระดับอ๋องระดับกงบ้านใดจะมีบุญวาสนายิ่งใหญ่ ได้รับเลือกจากองค์รัชทายาทและถูกแต่งตั้งเป็นพระชายา…
และในสำนักศึกษาสตรีที่ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำทางตะวันตกของเมืองชงโจว มณฑลเฉาอันเป่ยลู่แห่งนั้น เหล่าสตรีที่สวมหมวกสูงเสื้อสีเรียบตัวหลวม แต่ละคนก็ยิ่งพากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระซิบกระซาบกันไม่หยุดปาก…
“ข้าว่านะ ราชโองการของราชสำนักเกี่ยวกับการเปิดตลาดแลกเปลี่ยนการค้าระหว่างสองแคว้นในครั้งนี้ไม่เรียบง่าย การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ระดับมณฑลของสตรีในครั้งนี้ก็กำลังจะเริ่มขึ้น ถึงตอนนั้นหัวข้อในการสอบอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้…” สตรีผู้หนึ่งมือถือพู่กัน กำลังพูดกับคนที่อยู่ด้านข้างอย่างจริงจัง
เพียงแต่ไม่ทันรอให้นางได้พูดจบ ก็มีสตรีที่สวมกระโปรงสีครามคนหนึ่งกระโดดพรวดขึ้นมา โวยวายด้วยความไม่พอใจ “นี่มันเวลาอะไรแล้ว เจ้ายังจะคิดถึงเรื่องหัวข้อสอบนั่นอีก?! ไม่ได้ยินหรือว่าคนที่จะมาเฉาอันเป่ยลู่จัดการการสอบของแต่ละเมืองในครั้งนี้คือใคร ราชบัณฑิตเสิ่น เสิ่นไท่ฟู่!” นางเห็นคนที่อยู่ด้านข้างหลายคนต่างเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าก็ฉายแววกระหยิ่มใจ และกล่าวต่อ “เสิ่นไท่ฟู่เป็นใครน่ะหรือ ท่านแม่ของข้าบอกกับข้าตอนอยู่ที่บ้านว่าเสิ่นไท่ฟู่ในตอนนั้นบุคลิกสง่างาม มีวิชาความรู้ลุ่มลึก ความเรียงเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่รู้มีบุตรสาววงศ์ตระกูลสูงศักดิ์จำนวนมากมายเท่าใดมาลุ่มหลง!”
อีกคนหนึ่งนวดคลึงหน้าผาก เลิกคิ้วบอก “ตอนนั้น… ตอนนั้น… นั่นมันยี่สิบสามสิบปีก่อนแล้ว เพียงเกรงว่าเจ้าได้เห็นเขาในตอนนี้แล้วจะต้องผิดหวังอย่างมาก มีเวลาไปเพ้อฝันถึงเขา ยังไม่สู้ไปคิดถึงบุตรชายของเขาดีกว่า ได้ยินว่าบุตรชายของเขาเสิ่นจือซูจึงจะเป็นบุคคลที่สง่างามเปี่ยมความสามารถมีชื่อเสียงโด่งดัง เพียงเสียดายเจ้าชู้จนเป็นนิสัย…แต่ข้าว่านะ ต้องเจ้าชู้จนเป็นนิสัยจึงจะเรียกว่าดี หาไม่ต่อให้เจ้าได้พบเขาแล้วก็คงไม่มีโอกาส…”
หลายคนที่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างหัวเราะคิกคักขึ้นมา ในดวงตามีเลศนัยแฝงอยู่เล็กน้อย
ใบหน้าของสตรีที่สวมกระโปรงสีครามแดงขึ้นมาทันที เอามือบิดกระโปรงแล้วนั่งลงไป พูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “พวกเจ้า…พวกเจ้าก็ดีแต่ล้อข้าหาความสำราญใจ!” นางหันหน้าไปมองสตรีที่เอ่ยปากพูดจาเมื่อครู่ ยังคงพูดอย่างโมโห “เหยียนฟู่จือ เจ้าสตรีผู้หนึ่ง ตั้งแต่เช้ายันค่ำรู้จักแต่พูดเรื่องเช่นนี้ เจ้า… เจ้าเรียนปรัชญาเมธีอย่างสูญเปล่าจริงๆ!”
เหยียนฟู่จือยักไหล่ หรี่ตายิ้มบอก “ข้าก็แค่บุตรสาวพ่อค้าคนหนึ่ง เดิมก็ไม่เหมือนพวกเจ้าที่เรียนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภยศ ย่อมไม่ต้องสนใจการดูถูกเหยียดหยามตามวิถีแห่งปราชญ์อะไรนั่น…” นางกระดกนิ้วมือขึ้น แสร้งทำท่าทำทางเป่าๆ เล็บยาวบนนิ้วก้อยที่เรียวงามดุจต้นหอมของตน “เจ้าว่าใช่หรือไม่”
รอบด้านหัวเราะครืนขึ้นมาอีก
มีคนขยับเข้ามาถามอย่างประจบเอาใจ “พี่เหยียน ได้ยินว่าบ้านท่านมีญาติเป็นขุนนางอยู่เมืองหลวง แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทจะตกอยู่กับบ้านใดกัน…”
พอได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทุกคนก็พากันห้อมล้อมเข้ามาราวกับผึ้งที่รวบรวมเกสรในช่วงดอกไม้บาน อยากจะได้ยินให้ชัดเจน
เหยียนฟู่จือชายตามองนางแวบหนึ่ง ทำท่าผลักคนที่อยู่ด้านข้างหลายคนออกไป กล่าวเสียงราบเรียบ “เรื่องใหญ่ของราชวงศ์ ต่อให้ข้ามีความสามารถเพียงใดก็ไม่มีทางล่วงรู้ได้…” นางลุกขึ้นจะจากไปแล้ว กลับหยุดยืนอย่างไม่รีบร้อน จู่ๆ ก็กดเสียงลงต่ำบอก “ข้ากลับมีข้อคิดเห็นอยู่ข้อหนึ่ง แต่ไม่แน่ว่าจะถูกต้อง พวกเจ้าไม่อาจเอาไปพูดว่าข้าเป็นคนบอกนะ!”
ทุกคนพากันพยักหน้า ประกายเฝ้ารอคอยบนใบหน้าเพิ่มมากขึ้นมาหลายส่วน
ครานี้นางถึงได้เม้มปากบอก “พวกเจ้าเข้าใจว่าเรื่องที่องค์รัชทายาทจะแต่งตั้งพระชายาเรียบง่ายเพียงนี้หรือ ลองใช้สมองตรองดู! นับแต่รัชศกเฉียนเต๋อปีที่สิบสี่จนถึงทุกวันนี้ องค์รัชทายาทเข้าร่วมจัดการงานราชการแผ่นดินมาสิบปีเต็มแล้ว ช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ฝ่าบาทยิ่งเอากิจการด้านการทหารหลายเส้นทางทางเหนือมอบให้องค์รัชทายาทเป็นผู้ตัดสินใจ มาบัดนี้ก็บอกจะแต่งตั้งพระชายาองค์รัชทายาทอีก…เรื่องเล่าลือเก่าระหว่างฝ่าบาทกับผิงอ๋องไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดอะไรมาก พวกเจ้าก็กระจ่างแก่ใจอยู่แล้ว องค์รัชทายาทเป็นสายพระโลหิตเพียงหนึ่งเดียวของฝ่าบาท ฝ่าบาทมีหรือจะทรงจัดการเรื่องคัดเลือกพระชายาเองทั้งหมด ที่บอกจะแต่งตั้งพระชายา เพียงเกรงว่าฝ่าบาทจะสละราชบัลลังก์ถอนตัวจากอำนาจทางการเมืองแล้ว…”
มีเสียงสูดลมหายใจด้วยความรู้สึกอันหนาวเหน็บดังขึ้นมาจากรอบด้าน มีคนอุทานออกมา “พูดเช่นนี้ หมายความว่าใต้หล้าจะเปลี่ยนผู้ปกครอง?”
“จุ” เหยียนฟู่จือส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง นางรีบยกมือขึ้นปิดปากคนผู้นั้น บอกอย่างไม่พอใจ “คำพูดนี้ใช่สิ่งที่เจ้าข้าพูดได้หรือ ข้าพูดตั้งแต่แรกแล้ว คำพูดในวันนี้หากมีคนแพร่งพรายออกไป ข้าจะไม่ละเว้นเด็ดขาด!” พูดจบนางก็ไม่มองสีหน้าทุกคนอีก เพียงฝ่ากลุ่มคนเดินออกไป
มีคนร้องเรียกอย่างขลาดกลัวตามมาข้างหลัง “พี่เหยียน ประเดี๋ยวท่านอาจารย์จะมาแล้ว เหตุใดท่านจึงจะจากไปในตอนนี้”
เหยียนฟู่จือโบกๆ มืออย่างเอือมระอา ตอบอย่างไม่หันหน้ากลับไป “ข้าจะไปดูเมิ่งถิงฮุยเสียหน่อย เมื่อวานนางป่วย วันนี้ไม่รู้อาการดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่ เดี๋ยวจะพลาดการสอบในชั้นเรียนของท่านอาจารย์ในวันนี้…”
พอได้ยินประโยคพวกนั้นที่เหยียนฟู่จือพูดออกมา เหล่าสตรีที่กำลังส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งก็นิ่งเงียบลงทันที
ผ่านไปพักใหญ่ รอจนนางเดินไปไกลแล้ว จึงมีคนกระแอมกระไอออกมาสองครั้ง กล่าวเสียงเบา “ไปดูใครก็ดีทั้งนั้น แต่ไปดูคนผู้นั้น นี่ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปหาเรื่องให้เสียหน้า…”