ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 1
แสงอาทิตย์อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิสาดส่องเข้ามาสะท้อนใบหน้าของเมิ่งถิงฮุยให้มีสีทองจางๆ
เงาร่างคนผู้หนึ่งทาทาบเข้ามาที่ข้างกาย บดบังช่องหน้าต่างเอาไว้พอดิบพอดี
นางย่นหัวคิ้ว ตกใจตื่นขึ้นมาทันที ตอนลืมตาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานดังขึ้นที่ข้างหู “ห่วงเจ้าว่าจะยังไม่หายป่วยถึงได้มาดู คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับยังนอนหลับอยู่!…เมิ่งถิงฮุย เวลาเจ้ามองข้าอย่าทำหน้าบูดเพียงนี้ได้หรือไม่…หา”
มือข้างหนึ่งยื่นลงมาจากเหนือศีรษะ คิดจะคลำหน้าผากนาง กลับถูกนางยกฝ่ามือขึ้นขวาง
เหยียนฟู่จือหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง กวาดตาไปซ้ายขวาสำรวจห้องพัก “อยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าป่วยตายก็ไม่มีใครรู้! ชิ ข้าก็หาเรื่องไม่สบายใจใส่ตนเองเสียได้…”
เมิ่งถิงฮุยเหยียดร่างขึ้นตรง ปิดหนังสือที่กางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าดังปึง จากนั้นก็ลุกขึ้น ก่อนเดินออกไปข้างนอก
เหยียนฟู่จือเดินตามอยู่ข้างหลังนาง เรียกอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ “ข้าว่านะ อีกประเดี๋ยวท่านอาจารย์จะทำการสอบในชั้นเรียน เจ้าคงไม่ใช่ไม่รู้กระมัง…นี่เจ้าจะไปที่ใด นอนหลับจนจำถนนหนทางไม่ได้แล้วหรือ”
นางหยุดฝีเท้าอย่างฉับพลัน หันหน้ากลับมามอง “คุณหนูใหญ่เหยียน แทนที่จะมาตามข้า ไม่สู้กลับไปอ่านหนังสือเสียดีกว่า การสอบระดับมณฑลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ท่านทำเช่นนี้…”
เหยียนฟู่จือวิ่งเข้ามาเอ่ยตัดบทนาง “ดูหนังสืออะไร สอบอะไร ท่านพ่อข้าไม่ใส่ใจหรอกว่าข้าจะสอบได้หรือไม่ นอกจากนี้เขาได้เตรียมหอสุราไว้ให้ข้าหนึ่งแห่งแล้ว ยังมีร้านค้าของเก่าอีกสองร้าน รอข้าออกจากสำนักศึกษาสตรีแล้วก็จะไปช่วยดูแลกิจการของครอบครัว…ข้าจะเอาลาภยศไร้ประโยชน์เหล่านั้นไปทำอะไร”
หลังจากเมิ่งถิงฮุยฟังแล้วก็ชะงักฝีเท้า ยิ้มน้อยๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูใหญ่เหยียนก็ยิ่งอย่ามาติดตามข้าเลย มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ได้ดี ‘อุดมการณ์ต่างกันไม่เดินร่วมทางกัน’ ”
เหยียนฟู่จืออ้อมมาอยู่ด้านหน้านาง ยิ้มกริ่มบอก “พวกเจ้าคนที่เรียนหนังสือเก่งล้วนเป็นเช่นนี้ ชอบเสแสร้งวางท่าวางทาง…เจ้าอ่านหนังสือจนแทบทำให้ตนเองกลายเป็นคนทึ่มทื่อแล้ว คิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสอบระดับมณฑล แล้ววันนี้เพราะเหตุใดกลับไม่ไปฟังท่านอาจารย์สอนเล่า”
เมิ่งถิงฮุยหลับตาลง หมุนตัวไปทางดวงอาทิตย์ “เหตุใดข้าต้องเสียเวลาไปฟังเขาพูดในสิ่งที่ข้าเข้าใจหมดแล้วเหล่านั้นด้วย” พูดจบนางก็สาวเท้าเดินไป
เหยียนฟู่จือปรบมืออยู่ข้างหลังนาง ยิ้มแล้วบอก “เมิ่งถิงฮุย ข้าชอบท่าทางโอหังอวดดีไร้มารยาทเช่นนี้ของเจ้า! ผู้อื่นเห็นข้าแล้วมีแต่จะรีบเข้ามาตีสนิท มีเพียงเจ้าที่ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา! สตรีที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ พบเห็นได้น้อยยิ่ง!”
เมิ่งถิงฮุยนิ่งเงียบ มุมปากกระตุกเล็กน้อย กำลังคิดจะเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า แขนกลับถูกเหยียนฟู่จือคว้าไว้
เหยียนฟู่จือลากนางเดินตรงไปทางประตูตะวันตก พูดด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ “ข้ามองออกแล้ว เจ้าเก็บตัวอยู่ในห้องอ่านหนังสือจนเหนื่อยแล้ว คิดจะออกไปสูดอากาศ ไม่สู้ไปหอสุราของบ้านข้าเถิด ข้าเชิญเจ้าดื่มสุรา ดื่มสุรารสเลิศ!”
เมิ่งถิงฮุยสะบัดแขนไปสองทีกลับสู้แรงเหยียนฟู่จือไม่ได้ สีหน้าอดไม่ได้ที่จะแข็งกระด้างขึ้นมา “เหยียนฟู่จือ ท่านปล่อยมือข้านะ กลางวันแสกๆ เช่นนี้จะไปดื่มสุราที่หอสุรา นี่มันธรรมเนียมอะไร”
เหยียนฟู่จือไม่เพียงไม่ปล่อย กลับยิ่งจับแขนนางแน่นขึ้น “อ้อ ที่แท้เมิ่งถิงฮุยเจ้ายังใส่ใจเรื่องธรรมเนียมด้วยหรือ คราวก่อนใครกันที่พูดถึงถ้อยคำพลอดรักของชายหญิง และบทเพลงที่มีเนื้อหาสองแง่สามง่ามในหนังสือ ‘คุยเรื่อยเปื่อย’ เล่มนั้นให้ทุกคนฟัง เจ้ายังจะเอ่ยถึงเรื่องธรรมเนียม?!”
เมิ่งถิงฮุยหน้ายิ่งดำคล้ำแล้ว ทว่านางไม่ดิ้นรนอีก เพียงเดินไปข้างหน้าตามการฉุดดึงของเหยียนฟู่จือ ปากก็เอ่ยเสียงต่ำ “ท่านอย่าเอะอะโวยวายเช่นนี้ ข้าไปกับท่านก็แล้วกัน”
เหยียนฟู่จือหัวเราะออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ยิ่งก้าวเท้าเร็วขึ้น แล้วขยิบตาให้นาง “เช่นนี้จึงจะถูกต้อง”
วันนี้หอสุราป๋อเฟิงของสกุลเหยียนเงียบกว่าปกติมาก
ธงสีสันสดใสด้านนอกหอสุราโบกสะบัดอยู่บนที่สูง โคมไฟใหญ่ของหอสุราแดงจนแสบตา เงยหน้ามองขึ้นไปไม่เห็นว่าที่ชั้นสองมีแขก แต่ที่โถงใหญ่ชั้นหนึ่งกลับแออัดเต็มไปด้วยผู้คน กระทั่งมีคนยืนรอที่นั่งด้วย ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ
เหยียนฟู่จือเพิ่งจะก้าวขาข้างหนึ่งข้ามธรณีประตูหอสุราป๋อเฟิงเข้าไป เด็กรับใช้ก็ค้อมเอวเข้ามาต้อนรับ “คุณหนูใหญ่” พูดพลางลอบชำเลืองตามองเมิ่งถิงฮุยที่สวมเสื้อกระโปรงแบบเรียบง่ายเนื้อหยาบแวบหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าจางไปเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่จะพาสหายมา ก็ไม่บอกให้พวกข้าน้อยทราบก่อนสักคำ…”
เหยียนฟู่จือไม่สนใจ เพียงดึงเมิ่งถิงฮุยไปที่ชั้นสอง “วันนี้แปลกนัก ชั้นสองเหตุใดจึงไม่มีเสียงแขก”
เด็กรับใช้รีบเข้ามาขวางบอก “คุณหนูใหญ่ไม่ทราบ วันนี้มีแขกผู้สูงศักดิ์มาหลายคน ได้เหมาชั้นสองไว้ทั้งหมดแล้ว ท่านดูคนในห้องโถงใหญ่แห่งนี้สิขอรับ คนที่มีเงินยังน้อยอยู่หรือ แต่มีเงินก็ขึ้นไปไม่ได้…คุณหนูใหญ่หรือไม่ท่านรอช้าอีกหน่อย ท่านค่อย…”
เหยียนฟู่จือชายตาไป ยิ้มหยันบอก “ข้ากลับมาบ้านตนเองเพื่อดื่มสุราสักจอก ยังต้องเข้าแถวรอด้วยเช่นนั้นหรือ”
เด็กรับใช้เหงื่อเต็มหน้าผาก เนื่องจากรู้ถึงนิสัยของนาง ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งไม่กล้าขัดขวาง ได้แต่มองนางดึงคนขึ้นไปชั้นบน สุดท้ายเด็กรับใช้ก็กระทืบเท้า หมุนตัวไปรายงานหลงจู๊ที่ห้องโถงใหญ่
เหยียนฟู่จือทั้งฉุดทั้งดึงเมิ่งถิงฮุยเดินขึ้นบันได ปากก็กระซิบบอก “จะทำหน้าตาบูดบึ้งไปไย เจ้าไม่รู้หรือว่าคนที่มาดื่มสุรากินอาหารที่หอสุราป๋อเฟิงก็เพื่อจะชมทัศนียภาพนอกหน้าต่างชั้นสอง หาไม่ยังจะมา…”
นางเอาแต่หันหน้ามาพูด ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ จะมีแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาขวางทางไปของพวกนางสองคนไว้ ทั้งสองจำต้องชะงักฝีเท้า ก่อนย่นหัวคิ้วเหลือบตาขึ้น
“วันนี้คุณชายของเราได้เหมาชั้นสองไว้ทั้งหมดแล้ว ยังคงขอให้แม่นางไปหาที่นั่งที่ชั้นล่าง” คนพูดรูปร่างสูงใหญ่ แขนยาวแตะอยู่กับราวบันได พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก