เหยียนฟู่จือกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง พูดด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย “ดูจากเนื้อผ้าที่สวมใส่บนร่างกายก็น่าจะเป็นคนมีฐานะอยู่บ้าง เพียงแต่คุณชายบ้านท่านทราบหรือไม่ เวลานี้เขานั่งอยู่ในเขตของบ้านใคร”
บุรุษสีหน้าเย็นชาไม่เอ่ยปากอีก สายตามองข้ามศีรษะนาง มองตรงไปที่ด้านล่าง
เมิ่งถิงฮุยอยู่ด้านหลังยกมุมปากเล็กน้อย ในใจรู้ดีว่าเหยียนฟู่จือรักหน้าตาเป็นอย่างยิ่ง มาวันนี้ถูกบ่าวรับใช้คนหนึ่งมองข้ามเช่นนี้ จะยอมกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้อย่างไร นางจึงเอนตัวไปด้านข้างด้วยตั้งใจจะรอชมเรื่องสนุก
ไม่ผิดจากที่คิด เหยียนฟู่จือโกรธจนหน้าแดง ชี้คนผู้นั้นแล้วบอก “ข้าถามท่านอยู่นะ!”
บุรุษผู้นั้นยังคงไม่ส่งเสียง แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังกังวานของบุรุษดังมาจากทางช่องหน้าต่างด้านติดถนนที่เปิดกว้างอยู่…
“เขตของบ้านใคร ย่อมเป็นเขตของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าผิงเราน่ะสิ”
เมิ่งถิงฮุยได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อดเลิกคิ้วเอียงตัวมองไปทางด้านนั้นไม่ได้
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งนั่งพิงเก้าอี้อยู่ที่ข้างหน้าต่าง ขาข้างหนึ่งพาดอยู่บนขอบหน้าต่าง ในมือถือพัดพับสีดำเล่มหนึ่งโบกพัดช้าๆ อย่างสบายอกสบายใจ ชายเสื้อคลุมผ้าดิ้นสีครามอ่อนบนร่างถูกลมพัดปลิวขึ้นลง เมื่อมาประกอบกับใบหน้าที่แย้มยิ้มดุจบุปผาของเขา กลับให้ความรู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือนจริงๆ
เหยียนฟู่จือคาดคิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ หลังจากนิ่งอึ้งอยู่เป็นเวลานาน จึงหันกลับมายิ้มหยันให้เมิ่งถิงฮุย “ต้นฤดูใบไม้ผลิยังหนาวอยู่ กลับมีคนกำลังโบกพัดราวกับไร้สมอง พัดจนมีลมหนาวโชยมาถึงนี่ ข้าไม่สนใจที่นี่แล้ว ไปเถอะ เราลงไปข้างล่างกัน…”
“แม่นางท่านนี้โปรดหยุดก่อน” บุรุษหนุ่มกลับเรียกเหยียนฟู่จือไว้ จากนั้นก็บุ้ยปากให้บุรุษที่เฝ้าอยู่ตรงปากบันได
บุรุษผู้นั้นเข้าใจ กล่าวอย่างนอบน้อม “ขอรับ คุณชาย” จากนั้นก็เปิดทางให้
เหยียนฟู่จือไม่ขยับ ยังคงยิ้มหยัน “ที่แท้ชั้นสองก็ถูกท่านเหมาไว้แล้วนี่เอง มีดวงตางดงามคู่หนึ่งเสียเปล่า ถึงกับไม่เห็นว่าที่ด้านล่างมีคนมากน้อยเพียงใดที่มาถึงแล้วไม่มีที่นั่งจึงจากไปด้วยความผิดหวัง”
เมิ่งถิงฮุยเห็นสีหน้าบุรุษหนุ่มแปรเปลี่ยนเล็กน้อยก็อดหัวเราะเสียงต่ำไม่ได้ นางยังคงเดินไปที่ด้านข้าง เลือกโต๊ะที่อยู่ติดหน้าต่างแล้วนั่งลง ไม่มีแก่ใจจะไปสนใจการโต้เถียงของพวกเขาสองคน
บนชั้นสองมีห้องส่วนตัวอยู่หลายห้อง ประตูห้องด้านตะวันตกสุดเปิดแง้มอยู่ มองเห็นรางๆ ว่าข้างในมีคนนั่งอยู่ แต่กลับเห็นหน้าตาไม่ชัด
บุรุษหนุ่มกระโดดขึ้นมาจากข้างหน้าต่าง เดินมาถึงเบื้องหน้าเหยียนฟู่จือ กวาดตาขึ้นๆ ลงๆ มองประเมินนาง สีหน้าเปลี่ยนเป็นค่อนข้างแปลกประหลาด เขาเก็บพัดแล้วบอก “ดูจากการแต่งตัว เจ้าคงเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาสตรีชงโจวกระมัง”
เหยียนฟู่จือถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วเดินมาทางเมิ่งถิงฮุย ปากก็ด่าว่า “เติงถูจื่อ* ที่ไร้ยางอาย”
บุรุษหนุ่มไม่โกรธ กลับเดินตามมาข้างหลัง ยิ้มพลางเอ่ยถาม “ขอบังอาจถามแม่นาง ในเมื่อเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาสตรี เพราะเหตุใดจึงไม่ศึกษาวิชาหาความรู้ กลับมาเที่ยวหอสุราเช่นนี้ แม่นางทราบหรือไม่ ตอนนั้นเพื่อจะสร้างสำนักศึกษาสตรีร้อยแห่งขึ้นในแว่นแคว้น ฮ่องเต้ต้องทุ่มเทสติปัญญาและกำลังมากเพียงใด จะปล่อยให้เวลาดีๆ เช่นนี้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ได้อย่างไร…”
เหยียนฟู่จือมึนงงไปหมด นางกล่าวกับเมิ่งถิงฮุย “ไม่รู้เป็นคนเสียสติมาจากที่ใด”
เมิ่งถิงฮุยรับคำอย่างใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว นางมองไปที่นอกหน้าต่าง
บุรุษหนุ่มเลิกคิ้ว “ข้าไม่ใช่คนเสียสติ ข้า…”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงบุรุษในห้องส่วนตัวทางนั้นตัดบทขึ้น “เหยียนจือ อย่าพูดมาก”
คำพูดสั้นๆ เยียบเย็นประโยคเดียวกลับทำให้บุรุษหนุ่มเก็บรอยยิ้มและปิดปากในทันที แล้วถอยไปข้างหลัง
เหยียนฟู่จือรอจนเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว จึงหันหน้ามาแค่นเสียงฮึ แล้วกล่าวกับเมิ่งถิงฮุย “ยังนับว่ารู้จักดูทิศทางลม” บุรุษในห้องส่วนตัวผู้นั้นฟังจากเสียงน่าจะอายุเพียงยี่สิบกว่า ถึงกับทำให้เขาสำรวมกิริยาเช่นนี้ได้ ชั่วขณะนั้นทำให้นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา อดที่จะหันหน้าไปมองอีกหลายครั้งไม่ได้ พอหันหน้ากลับมา กลับเห็นเมิ่งถิงฮุยมีท่าทีใจลอย นางจึงเอามือจิ้มๆ จอกสุราที่อยู่ตรงหน้าอย่างอับจนปัญญา “ข้าว่านะ ที่แท้แล้วมีเรื่องอันใดที่ทำให้เจ้าใส่ใจได้บ้าง”
เมิ่งถิงฮุยดึงสายตากลับมา ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “เรียนหนังสือ สอบจิ้นซื่อ เข้าราชสำนักเป็นขุนนาง”
“ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลยหรือ” เหยียนฟู่จือมองจ้องนาง “ตอนนั้นเสิ่นฮูหยินเจิงซื่อ เป็นขุนนางหญิงคนแรกในราชสำนัก ตำแหน่งขุนนางถึงตูเฉิงจื่อ ของสำนักกลาโหม สุดท้ายยังไม่ใช่กลัวแก่แล้วไม่มีคนต้องการ ถึงได้รีบลาออกมาแต่งงาน…”
เมิ่งถิงฮุยหลับตา “ไม่เคย”
ผู้ที่ไม่มีบิดา ไม่มีมารดา ไม่มีบ้าน ไม่มีญาติพี่น้องเช่นนาง จะมีใครอยากแต่งงานด้วย