ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 1
นางไม่ได้งามเพริศพริ้ง สิ่งเดียวที่จะทำให้คนชื่นชมได้ก็คือวิชาความรู้ของนาง แต่ถ้าสอบจิ้นซื่อไม่ได้ก็ไม่อาจเข้าเป็นขุนนาง หากมีแต่วิชาความรู้แล้วจะเอาสถานที่แสดงความสามารถมาจากที่ใด
นางตอบอย่างตรงไปตรงมาเพียงนี้ เหยียนฟู่จือฟังแล้วนิ่งอึ้งไป เป็นนานจึงเอ่ยปากอีกครั้ง พูดคล้ายกระฟัดกระเฟียด “นับแต่เสิ่นฮูหยินเป็นต้นมา หลายปีที่ผ่านมาสตรีเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ส่วนใหญ่จะเข้าทำงานที่สำนักพิธีกรรมไม่ก็สำนักห้องเครื่องสถานที่เหล่านี้ บางครั้งก็อยู่ในกรมทั้งหก บ้าง แต่กลับไม่อาจเข้าสำนักหลักทั้งสอง ได้อีก สตรีอื่นคิดจะสอบเพื่อลาภยศ เพียงต้องการความมีหน้ามีตาแค่ไม่กี่ปี ส่วนเจ้ากลับเหมือนมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นขุนนางใหญ่ ไม่คิดบ้างว่าจะเป็นไปได้หรือไม่”
แพขนตาของเมิ่งถิงฮุยขยับเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยปากอีก
มือที่ห้อยอยู่ข้างเก้าอี้กลับกำเข้าหากันหลวมๆ
ในสมองมีภาพบางภาพผุดวาบขึ้นมาแล้วผ่านไป ทำให้หัวใจของนางบีบรัดเป็นระลอก ลมหายใจก็พลอยกระชั้นถี่ขึ้นมา
‘ถ้าร่างกายของข้าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ข้าจะไม่เสียดายเลย’
ปีนั้นฝนที่เทลงมาปานฟ้ารั่วครั้งนั้น คนผู้นั้น ความในใจคำนั้น…
จวบจนทุกวันนี้ยังดังอยู่ข้างหู
ท่ามกลางลมหนาวและฝนยามราตรี คนผู้นั้นกอดนางแน่น ลมร้อนจากปากเป่ารดเข้าไปในหูของนาง เขาพูดเบาๆ ว่า ‘หนูน้อย ไม่ต้องกลัว อย่าร้องไห้…’
“เมิ่งถิงฮุย”
นางพลันได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวแรงอย่างควบคุมไม่อยู่
ประตูห้องส่วนตัวถูกคนผลักเปิดจากด้านในในตอนนี้พอดี มีเสียงหัวเราะต่ำๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ของบุรุษดังขึ้น
เหยียนฟู่จือหันหน้าไป เห็นเป็นบุรุษในชุดสีครามที่เจอก่อนหน้านี้ผู้นั้น นางก็อดโมโหกว่าเดิมไม่ได้ จะอ้าปากด่าเขาว่าแอบฟังผู้อื่นคุยกัน กลับเห็นมีคนเดินออกมาจากด้านในอีกคนหนึ่ง จึงอดตะลึงงันไปไม่ได้
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวสีดำ รองเท้าหุ้มแข้งสีดำ เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบง่าย แต่ปิ่นหยกขาวที่เสียบอยู่ด้านหลังศีรษะกลับดูล้ำค่ายิ่ง รูปร่างองอาจผึ่งผาย รูปโฉมหล่อเหลายิ่ง ทว่าดวงตาข้างขวากลับมีผ้าดำชิ้นหนึ่งปิดอยู่ ถึงกับเป็นคนตาเดียว
ทั้งสองคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังเดินออกมา บุรุษร่างสูงใหญ่ที่ก่อนหน้านี้เฝ้าอยู่ตรงปากบันไดผู้นั้นเดินตามอยู่ข้างหลังพวกเขาอย่างนอบน้อม ไม่ถอยห่างแม้แต่ก้าวเดียว
ตอนทั้งสามคนเดินผ่านหน้าพวกนางไป บุรุษชุดครามผู้นั้นกลับหยุดลง เอียงตัวก้มหน้า ขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าเหยียนฟู่จือ ยิ้มกริ่มบอก…
“เมื่อครู่มีคำพูดประโยคหนึ่งที่แม่นางพูดไม่ถูก ในตอนนั้นเสิ่นฮูหยินเจิงซื่อหาใช่เพราะกลัวแก่แล้วไม่มีคนต้องการจึงลาออกจากขุนนางมาแต่งงาน ต่อไปอย่าได้พูดจาส่งเดชเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”
เหยียนฟู่จืออับอายจนหน้าแดงก่ำ นางรีบเบี่ยงตัวหลบ ปากก็ด่าว่า “ไร้ยางอาย! ไร้มารยาท!” นางหมุนตัวไปดึงเมิ่งถิงฮุย พูดอย่างไม่พอใจ “รอข้ากลับไปบอกท่านพ่อข้าถึงพฤติกรรมของเติงถูจื่อผู้นี้ก่อนเถอะ จากนั้น…” นางกลับพบว่าเมิ่งถิงฮุยอยู่ในสภาพอึ้งตะลึง มองบุรุษชุดดำผู้นั้นตาไม่กะพริบ
“เมิ่งถิงฮุย!” นางร้องเรียกด้วยความประหลาดใจ
เมิ่งถิงฮุยกลับไม่มีอาการตอบสนองแม้แต่น้อย มือกำแน่น ร่างแข็งราวกับก้อนหิน สายตามองตามคนผู้นั้นไปตลอดทาง มองเขาเดินไปทางบันไดทีละก้าวๆ มองเขาเดินลงบันไดไปทีละก้าวๆ มองเขาออกประตูไปทีละก้าวๆ…
แผ่นหลังคนผู้นั้นเหยียดตรงเพียงนั้น หัวไหล่กว้างเพียงนั้น ฝีเท้ามั่นคงเพียงนั้น
ช่วงเอวไม่มีหยกประดับ กลับห้อยแผ่นหินสีดำบางๆ ชิ้นหนึ่ง บนนั้นมีลวดลายให้เห็นรำไร ยามเดินแผ่นหินแกว่งไปมาเล็กน้อย ซ่อนตัวกลืนไปกับชุดคลุมยาวสีดำ ถ้าไม่ตั้งใจมองให้ดีก็แทบจะไม่สังเกตเห็น
นางเห็นอย่างชัดเจน เปลือกตาพลันกระตุกวาบ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง จากนั้นไม่แม้แต่จะคิดก็พุ่งตัวลงบันไดไป
เป็นเขา…
เป็นเขาจริงๆ!
นอกหอสุราป๋อเฟิง ดวงอาทิตย์ร้อนแรงสาดส่องอยู่บนท้องฟ้าสูง แสงเจิดจ้าดุจทองกระจายสว่างจ้าตาทำให้คนกระทั่งตายังลืมไม่ขึ้น
นางหอบแฮกๆ ยืนตรง กวาดตามองหาเงาร่างของเขาไปทั่วบริเวณ
มีเสียงร้องของม้าดังมาจากข้างถนน นางมองไปก็เห็นเขาพลิกตัวขึ้นหลังม้าพอดี ดึงสายบังเหียนม้าเปลี่ยนทิศทาง
เขาเอียงตัว ดวงตากวาดผ่านใบหน้าของนาง ชั่วขณะนั้นเขาไม่ได้หยุดชะงักแม้แต่น้อย จากนั้นมองไปทางอีกสองคนที่เหลือ ริมฝีปากอ้าหุบพูดอะไรบางอย่าง แล้วทั้งสามก็เร่งม้าควบจากไป…โดยไม่ได้หันหน้ากลับมาอีก
นางคล้ายถูกตอกติดอยู่กับพื้นเช่นนั้น กระทั่งจะเดินเข้าไปถามเขาสักคำก็ยังไม่มีความกล้า
เขาไม่รู้จักนางแล้ว…
แต่เขายังจะรู้จักนางได้อย่างไร
นางเมื่อสิบปีก่อนถูกเขาเก็บขึ้นมาจากในกองซากศพคนตาย เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ผมเผ้ายุ่งกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม ออกเสียงพูดไม่ชัด เขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่านางเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง
นางในอีกสิบปีให้หลังผูกผมเรียบร้อย สวมเสื้อกระโปรงของศิษย์สำนักศึกษาสตรี ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างหมดจดสะอาดสะอ้าน เขาจะคิดว่านางเป็นเด็กคนนั้นในตอนนั้นได้อย่างไร
เวลาผ่านไปหลายปีเพียงนี้ เขาคือคนเดียวที่นางเฝ้าคิดถึงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ แต่เพราะเหตุใดวันนี้ได้พบแล้วกลับยังคงมีผลลัพธ์เช่นนี้
เขาเมื่อสิบปีก่อนก็จากไปเช่นนี้ นางไม่รู้ชื่อสกุลของเขา ไม่รู้ฐานะของเขา เพียงจดจำใบหน้าดวงนั้น ดวงตาข้างนั้น กับแผ่นหินชวนมองที่ห้อยอยู่ตรงเอวเขาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา จดจำคำพูดทุกคำที่เขาพูดกับนาง
เขาในอีกสิบปีให้หลังดูสูงขึ้นและเปลี่ยนเป็นล่ำสันขึ้น แต่ใบหน้าดวงนั้นยังคงหล่อเหลา ดวงตาข้างนั้นยังคงสยบผู้คน หินแผ่นนั้นยังคงห้อยแขวนอยู่ที่เอวของเขา…นางยังคงไม่มีความกล้าที่จะก้าวเข้าไปถามเขา ที่แท้แล้วเขาชื่อเรียงเสียงใด วันหน้านางยังจะได้พบเขาอีกหรือไม่
“เมิ่งถิงฮุย เจ้าเป็นอะไรไป”
เหยียนฟู่จือไล่ตามลงมา น้ำเสียงดูจะตกใจเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร” นางสั่นศีรษะ ขอบตาถูกแสงอาทิตย์สาดส่องจนออกจะรู้สึกแสบ ถึงกับมีความรู้สึกอยากจะร้องไห้ นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มน้อยๆ บอก “ไม่ใช่บอกจะพาข้ามาดื่มสุราหรือ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.