ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 2
บทที่ 2
เสียงฝีเท้าม้ากระทบแผ่นหินดังกังวาน
เหนือศีรษะมีใบอ่อนสีเขียวที่เพิ่งแตกใบได้ไม่นานร่วงหล่นลงมา ส่งกลิ่นหอมจรุงใจที่มีเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
“เหยียนจือ”
บุรุษในชุดคลุมสีดำพลันร้องเรียกเสียงต่ำ
“พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษชุดครามรีบเร่งม้าขึ้นมาข้างหน้า ขยับเข้ามาใกล้ถามเสียงเบา “องค์รัชทายาทมีอันใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าติดตามข้าออกจากเมืองหลวงมาครั้งนี้ ทุกเรื่องล้วนต้องสำรวม ต่อไปอย่าแสดงกิริยาเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์ ทั้งอย่าเที่ยวไปตอแยกับสตรีแปลกหน้า” เสียงทุ้มต่ำเยียบเย็น ทั้งเจือไปด้วยความอับจนปัญญาเล็กน้อย
บุรุษชุดครามก้มหน้าลง กล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ครั้งนี้องค์รัชทายาทปลอมเป็นสามัญชนเดินทางมาเป็นการส่วนพระองค์ ข้างกายมีเพียงองครักษ์ไป๋ผู้เดียว เฉาอันเป่ยลู่เดิมเป็นดินแดนของแคว้นจงหวั่น ขนบประเพณีความนิยมเทียบไม่ได้กับเมืองหลวง…”
“ดังนั้นเจ้าจึงโอ้อวดความมั่งมีขับไล่ผู้คนในหอสุรา ข้ายังไม่ถึงกับกินข้าวมื้อหนึ่งก็ถูกคนวางแผนประทุษร้ายหรอกนะ” บุรุษชุดดำตัดบทเขา สีหน้าไม่ชอบใจ “เบี้ยรายเดือนอันเล็กน้อยของเสิ่นไท่ฟู่ไม่ใช่ให้เจ้าเอามาใช้สิ้นเปลืองเช่นนี้”
บุรุษชุดครามสีหน้ามีแววลำบากใจ เขากล่าวเสียงเบา “องค์รัชทายาททรงลืมแล้ว ตั้งแต่ต้นปีมากระหม่อมก็เริ่มรับเบี้ยรายเดือนแล้ว”
บุรุษชุดดำเอียงหน้ามากล่าวเสียงเย็น “นั่นสิ ข้ากลับลืมไปแล้ว เจ้าเสิ่นจือซูเป็นใคร เพราะบารมีของสกุลเสิ่น ไม่ต้องสอบเคอจวี่เจ้าก็เข้ามาเป็นขุนนางได้ ยังไม่เคยดำรงตำแหน่งอะไรก็เข้ามารับตำแหน่งขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ ต่อให้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อในราชสำนักที่เพิ่งสอบได้ในปีนี้ก็ยังมีหน้ามีตาสู้เจ้าไม่ได้…ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตจิ้นซื่อคนอื่นๆ เลย ข้าว่าแม้แต่เสิ่นไท่ฟู่ในปีนั้นยังมีชื่อเสียงเทียบเจ้าเสิ่นจือซูในวันนี้ไม่ได้!”
“องค์รัชทายาท…” เสิ่นจือซูร้อนใจอยากจะพูด แต่กลับกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากกลับลงไป เพียงปิดปากไม่ส่งเสียง ครู่หนึ่งจึงหันหน้าไปกล่าวกับบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ติดตามอยู่ด้านข้างคล้ายขอความช่วยเหลือ “องครักษ์ไป๋”
ไป๋ตันหย่งเห็นท่าทางเขาน่าสงสารก็เร่งม้าขยับเข้ามา พูดแก้สถานการณ์ “องค์รัชทายาททอดพระเนตรเมืองชงโจวแห่งนี้สิพ่ะย่ะค่ะว่าเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด เมื่อครู่กระหม่อมเห็นมีหอสุรา โรงน้ำชา ร้านค้าต่างๆ มากมายหลากหลายบนถนนสายนี้ เทียบกับเมื่อสิบปีที่แล้ว ยามนี้ดูเจริญขึ้นมาไม่รู้กี่เท่าพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ว่าหลายปีมานี้ผลงานและแนวทางการทำงานของขุนนางในเฉาอันเป่ยลู่สอดคล้องกับความเป็นจริง ความพยายามของพระองค์ไม่ได้สูญเปล่า”
บุรุษชุดดำสีหน้าผ่อนคลายลง หันกลับไปมองรอบๆ แล้วบอก “ต่างจากสิบปีก่อนมากจริงๆ องครักษ์ไป๋ยังจำได้หรือไม่ ปีนั้นเสด็จแม่มีราชโองการให้ถอดถอนยกเลิกวัดวาอารามสี่เส้นทางทางเหนือที่ไม่มีชื่ออยู่ในราชโองการ เพราะทางแถบเฉาอันขุนนางทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่จัดการได้ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เณรและแม่ชีอายุน้อยจำนวนมากที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนครัวเรือนต่างไม่มีบ้านให้กลับ…”
ไป๋ตันหย่งนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ย่นหัวคิ้วบอก “กระหม่อมขอบังอาจกล่าว ปีนั้นพระองค์เพิ่งเข้าร่วมจัดการงานบ้านเมือง ได้รับพระบัญชาให้ไปตรวจสอบสถานการณ์ของขุนนางในดินแดนเมืองขึ้นทุกเส้นทางในแคว้นจงหวั่น แต่พระองค์กลับทิ้งข้าราชบริพารผู้ติดตามไปตรวจสอบหลายเมืองตามลำพังคนเดียวแล้วจึงกลับ แม้จะพบขุนนางที่ทุจริตรับสินบน ช่วยชีวิตเณรได้ไม่น้อย แต่การกระทำเช่นนี้ของพระองค์กลับทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องอกสั่นขวัญแขวน นอนหลับไม่สนิทหลายคืน ครั้งนี้กระหม่อมเพียงหวังว่าไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใดก็จะให้กระหม่อมติดตามไปด้วย หาไม่หากเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ ต่อให้กระหม่อมมีสิบศีรษะก็ไม่อาจชดใช้ความผิดได้…”
“องครักษ์ไป๋ไม่ต้องกังวล องค์รัชทายาทเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง จะเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไร กลับเป็นข้าคนที่ผ่านโลกมาไม่มากที่ต้องการการปกป้องอย่างมากจากองครักษ์ไป๋” เสิ่นจือซูพูดแทรกขึ้นมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “พรุ่งนี้ข้าต้องไปสำนักศึกษาสตรีที่ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำทางตะวันตกของเมืองชงโจวเพื่อเข้าเยี่ยมพบผู้บัญชาการสำนักศึกษาแต่เช้า องครักษ์ไป๋ไม่อาจทิ้งข้าไว้คนเดียวโดยไม่สนใจเล่า”
ไป๋ตันหย่งอึ้งไปเล็กน้อย มองๆ เขาแล้วก็มองบุรุษชุดดำ “องค์รัชทายาท นี่…”
เสิ่นจือซูขยิบตาให้บุรุษชุดดำ มุมปากมีรอยยิ้มที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้
บุรุษชุดดำเข้าใจ สีหน้าผ่อนคลายลง พยักหน้าบอก “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ครั้งนี้เสิ่นไท่ฟู่ได้รับพระบัญชาให้จัดการสอบระดับมณฑลของเฉาอันเป่ยลู่ สำนักศึกษาสตรีของเมืองชงโจวย่อมสำคัญที่สุด เหยียนจือแต่ไรมาทำอะไรไม่ค่อยคำนึงถึงผลที่จะตามมา ถ้าให้เขาไปคนเดียวเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดได้ พรุ่งนี้ก็ขอให้องครักษ์ไป๋ไปกับเขาสักครั้ง แค่สองสามชั่วยา เท่านั้น ไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า”
ไป๋ตันหย่งอึ้งงันไปชั่วขณะ แล้วคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ เปิดปากจะพูด “แต่องค์รัชทายาท…”
เสิ่นจือซูกลับตัดบทเขาอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณองครักษ์ไป๋ล่วงหน้าแล้ว” จากนั้นเขาก็หรี่ตายิ้ม สองขาหนีบท้องม้า กระตุ้นม้าให้วิ่งไปข้างหน้า
ริมฝีปากของบุรุษชุดดำยกยิ้ม กระตุกสายบังเหียนกระตุ้นม้า ไม่พูดอะไรอีก
ต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องเฉียงลงมายังฝุ่นผงบนไหล่ของเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลข้างซ้ายดวงนั้นใสกระจ่างแวววาวดุจอำพัน