บทที่ 3
ในเมืองดอกท้อเริ่มผลิบาน กลีบดอกท้อสีแดงอ่อนนุ่มปลิวปรายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ยั่วเย้าผีเสื้อและผึ้งให้ไล่ตามไม่หยุด
การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ระดับมณฑลของสตรีเป็นเวลาสามวันเพิ่งจะเสร็จสิ้นลง ขณะเสิ่นไท่ฟู่และคนอื่นๆ ปิดสนามสอบคัดลอกคำตอบจากกระดาษข้อสอบและพิจารณาตัดสิน ในเมืองชงโจวกลับมีข่าวลือที่น่าตื่นตะลึงแพร่กระจายออกมา…
องค์รัชทายาทเสด็จมาเฉาอันแล้ว!
โดยปลอมเป็นสามัญชนเดินทางมาเป็นการส่วนพระองค์ ไม่มีการแจ้งขุนนางคนใดในเมืองต่างๆ ของเฉาอันเป่ยลู่ให้ทราบล่วงหน้า ตัวคนเดียวก็ไปที่ค่ายใหญ่ชิงโจวแล้ว จากนั้นก็เดินทางลงมาทางใต้ ตรวจสอบค่ายทหารหลายสิบแห่งตามแนวชายแดนทางเหนือโดยไม่มีใครรู้ จากนั้นควบม้าเร็วกลับมาที่เมืองชงโจว
พอเข้าเมืองชงโจว องค์รัชทายาทก็ตรงไปยังที่ทำการกองบัญชาการอันฝู่ ของเฉาอันเป่ยลู่ มีบัญชาให้ขุนนางผู้มีอำนาจพัวพันถึงกิจการทหารตั้งแต่ผู้บัญชาการลงไปกลับมารอในที่ทำการ
เหล่าขุนนางในที่ทำการกองบัญชาการอันฝู่ของเฉาอันเป่ยลู่ต่างตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูกไปในทันที
จะมีใครคาดคิดได้ว่าองค์รัชทายาทจะเลือกมาเฉาอันในเวลานี้ แล้วจะมีใครคาดคิดได้ว่าองค์รัชทายาทถึงกับไปตรวจสอบค่ายใหญ่ที่ชิงโจว
คำสั่งดุจกระบี่ที่แหลมคม ไม่มีใครกล้าขัดขืน ถึงจะตื่นตระหนกหวาดกลัวเพียงใดก็ต้องรออยู่ในที่ทำการกองบัญชาการอันฝู่แต่โดยดี แต่ส่วนลึกในใจกลับไม่รู้ว่าหมากก้าวนี้ขององค์รัชทายาทที่แท้แล้วหมายความว่าอย่างไร
บนแผ่นหินสีเขียวอมดำที่ลานใหญ่ของที่ทำการกองบัญชาการอันฝู่มีเหล่าขุนนางคุกเข่าอยู่เต็มไปหมด
บรรยากาศสบายๆ ในฤดูใบไม้ผลิ แต่พอหลังเที่ยงแสงอาทิตย์ก็สาดส่องจากท้องฟ้าลงมาบนร่างของเหล่าบุรุษที่สวมชุดขุนนางหนาหนักกลุ่มนี้ราวกับหินหนืด ไม่ว่าเป็นคนสุขุมเยือกเย็นดุจน้ำเพียงใดก็ไม่อาจทนต่อความร้อนที่แผดเผาเช่นนี้ได้
ด้านหลังชุดขุนนางของคนจำนวนไม่น้อยเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แทบจะทุกคนต่างยกชายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผากเป็นระยะๆ
มีคนบ่นว่าเสียงเบา “องค์รัชทายาทไม่ได้ตรัสคำว่า ‘ลงโทษ’ เสียหน่อย ใต้เท้าต่งอาศัยอะไรให้พวกเราคุกเข่ารออยู่ที่นี่”
คนที่อยู่ด้านข้างกดเสียงลงต่ำบอก “เจ้าไม่มีตาหรือว่าไม่มีสมองกันแน่ ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาทกริ้วมากเพียงใดยังมองไม่ออกหรือ ใต้เท้าต่งให้พวกเราคุกเข่าอยู่ที่นี่นับเป็นทางออกที่ดีแล้ว หาไม่ยังไม่รู้องค์รัชทายาทจะทรงลงโทษเช่นไร!”
แล้วก็มีคนเอ่ยถามเบาๆ “ก็แค่ค่ายใหญ่ชิงโจวหย่อนยานไปบ้าง ไม่น่าจะต้องถึงกับกริ้วมากเพียงนี้กระมัง อีกประการหนึ่ง ใต้เท้าต่งจะอย่างไรก็เป็นผู้บัญชาการปลอบบำรุงขวัญทหารในท้องที่ที่ผิงอ๋องทรงคัดเลือกเองในตอนนั้น องค์รัชทายาทคงไม่ถึงกับไม่เห็นแก่หน้าผิงอ๋อง…”
“เจ้าจะรู้อะไร” คนที่อยู่ตรงกลางตัดบทขึ้น “คดีเณรและแม่ชีน้อยที่เฉาอันเมื่อสิบปีก่อนเคยได้ยินหรือไม่ ปีนั้นองค์รัชทายาทเพิ่งอายุเต็มสิบสี่ แต่วิธีการนั้น…” คนพูดตัวสั่นสะท้าน ยกมือขึ้นกรีดไปที่ลำคอทีหนึ่ง “ยังเป็นคนที่เคยติดตามผิงอ๋องทำศึกสถาปนาบ้านเมืองก็ถูกตัดหัวแล้ว! กระทั่งรายงานยังไม่รายงานไปทางเมืองหลวงสักคำ”
คนที่อยู่รอบด้านฟังแล้วก็พากันก้มหน้า ไม่กล้าพูดมากอีก เพียงรู้สึกแสงอาทิตย์เหนือศีรษะดูจะมีความเย็นขึ้นเล็กน้อย แม้แต่เหงื่อบนร่างก็แห้งเหือดไปด้วย
องค์รัชทายาทแห่งต้าผิงสกุลอิงนาม ‘กว่า’ เป็นพระโอรสพระองค์เดียวของฮ่องเต้หญิงองค์ปัจจุบันอิงฮวนกับผิงอ๋องเฮ่อสี่
ถ้าจะบอกว่าใต้หล้านี้ใครมีวิธีการที่เหี้ยมโหดทำให้คนอกสั่นขวัญผวาที่สุด คนผู้นั้นย่อมเป็นผิงอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าพูดถึงว่าใต้หล้านี้มีใครคาดเดาจิตใจได้ยากที่สุด คนผู้นั้นย่อมเป็นองค์รัชทายาทอิงกว่า
ตั้งแต่เล็กเป็นคนนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดสมดังชื่อ
ตอนนั้นฮ่องเต้กับผิงอ๋องตั้งชื่อองค์รัชทายาทว่า ‘กว่า’ ทำให้อาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้าต่างฉงนสนเท่ห์ มีเพียงขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักไม่กี่คนที่ติดตามคนทั้งสองมาหลายปีที่สามารถเข้าใจถึงความนัยลึกซึ้งของชื่อนี้
ก่อนต้าผิงจะสถาปนาแว่นแคว้น ใต้หล้าเดิมแบ่งเป็นห้าส่วน
ตะวันออกมีแคว้นเยี่ยฉี ตะวันตกมีแคว้นไถซุ่ย ใต้มีแคว้นหนานฮู่ เหนือมีแคว้นเป่ยเจี่ยน กลางมีแคว้นจงหวั่น
ฮ่องเต้กับผิงอ๋องเดิมแยกกันเป็นผู้ปกครองแคว้นไถซุ่ยกับเยี่ยฉี ทั้งสองต่อสู้ช่วงชิงกันมาสิบปีเต็ม เมื่อพบกันแล้วก็ทำให้พัวพันกันไปชั่วชีวิต นับแต่นั้นในชีวิตก็ไม่อาจขาดอีกฝ่ายได้
นั่นเป็นการต่อสู้เอาชนะกันระหว่างกษัตริย์กับกษัตริย์ และเป็นความรักระหว่างราชากับราชา
แม้จะผ่านมานานปีแล้ว เหล่าขุนนางสูงวัยในราชสำนักก็ยังคงจดจำการต่อสู้พันพัวกันอย่างดุเดือดร้อนแรงภายใต้ม่านเหล็กในตอนนั้นได้ดี