ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 3
แม่น้ำนับร้อยสายน้ำนับพัน ดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล ดาบหอกง้าวขวานสองคมลมฝนที่เจือไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต กองทัพนับหมื่นนับพันต่อสู้ในสนามรบ ห้าแคว้นในใต้หล้าไฟสงครามปะทุไปทั่ว…คลื่นยักษ์มหึมาแห่งความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า ความไม่แน่นอนของใต้หล้าและบ้านเมืองอยู่ข้างหลัง นางกับเขาต่างเป็นประมุขของแว่นแคว้น จากความเกลียดชังแปรเปลี่ยนเป็นความรัก จากหวาดระแวงเป็นความไว้วางใจ จากการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายในสนามรบมาเป็นการรวมกองทัพมุ่งหน้าขึ้นเหนือ โจมตีหนานฮู่ จงหวั่นสองแคว้นไปตลอดทาง กลับต้องหยุดก่อนที่จะโจมตีเป่ยเจี่ยน เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยากจะรักษาให้หายดี
ในใต้หล้าไม่มีใครรู้ว่าที่แท้แล้วเพราะเหตุใดท้ายที่สุดเขาถึงได้ยกบ้านเมืองให้กับนาง
ผู้คนรู้เพียงว่าตั้งแต่นั้นมาเขาและนางก็จับมือกันร่วมรุกร่วมถอยไปด้วยกัน และนางยังเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นชื่อบรรดาศักดิ์ของเขา…ผิง
ตอนก่อตั้งราชวงศ์ต้าผิงก็เป็นช่วงที่องค์รัชทายาทประสูติพอดี
เหตุผลที่ใช้คำว่ากว่าเป็นชื่อ หาใช่เพราะคิดจะให้ทายาทเพียงคนเดียวของคนทั้งสองต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไปตลอดชีวิต เพียงแต่ผืนแผ่นดินใต้หล้าที่กลืนกลายสติปัญญาและกำลังทั้งชีวิตของคนทั้งสองเข้าด้วยกันแห่งนี้ มีเพียงคนผู้นี้คนเดียวเท่านั้นที่สามารถสืบทอดได้
องค์รัชทายาทอิงกว่าตั้งแต่เล็กก็เฉลียวฉลาดเปี่ยมไหวพริบ อายุสิบสี่ปีนั้นก็เริ่มรับพระบัญชาให้เข้าร่วมในการจัดการกิจการของราชสำนักและการทหาร และผิงอ๋องได้วางมือจากงานบ้านเมืองตั้งแต่นั้น ทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญฮ่องเต้ก็จะร่วมตัดสินใจกับองค์รัชทายาท เพื่อแสดงถึงความหวัง ความเชื่อถือ และความไว้วางใจที่มีต่อพระโอรสพระองค์เดียวที่จะกุมอำนาจการปกครองบ้านเมืองในวันข้างหน้า
ตอนนั้นผิงอ๋องสละตำแหน่ง ฮ่องเต้รวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นต้าผิง รัชศกเฉียนเต๋อปีที่สามเหล่าขุนนางเก่าในอาณาจักรเดิมของทั้งสองได้มารวมตัวกันที่ซุ่ยหยางเมืองหลวงใหม่ ร่วมกันดูแลอาณาจักรใหม่ ขุนนางฝ่ายพลเรือนของสองแคว้นเดิมหลายปีมานี้ต่างไม่ลงรอยกัน ยิ่งแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ตะวันออกกับตะวันตก ยี่สิบกว่าปีมานี้บางครั้งก็โต้เถียงขัดแย้งกันในเรื่องกิจการของราชสำนักและการทหาร
ดินแดนเดิมของหนานฮู่และจงหวั่นสองแคว้นที่ยึดมาได้ก็ถูกแบ่งแยกเส้นทางใหม่ เฉาอันเป่ยลู่เป็นดินแดนทางเหนือของแคว้นจงหวั่นเดิม มีชายแดนติดกับแคว้นเป่ยเจี่ยน ค่ายทหารหลายสิบแห่งที่สร้างขึ้นตามเส้นทางหลายปีมานี้มีแต่เพิ่มไม่มีลด เพียงพอที่จะทำให้เห็นถึงระดับความสำคัญที่ราชสำนักมีต่อเส้นทางนี้
องค์รัชทายาทปลอมเป็นสามัญชนเดินทางมาเฉาอันเป่ยลู่เป็นการส่วนพระองค์ในครั้งนี้ เพราะเห็นค่ายใหญ่ชิงโจวหย่อนยานจึงเดือดดาลบันดาลโทสะ ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายได้
ในห้องรับรองด้านในของที่ทำการสลัวเยียบเย็นไร้แสงสว่าง
บุรุษผู้หนึ่งดูจากท่าทางอายุราวสี่สิบกว่าคุกเข่าอยู่กลางห้อง ก้มศีรษะบอก “องค์รัชทายาทเสด็จออกจากเมืองหลวงเร่งรุดมาทางเหนือ กระหม่อมไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน นับว่ามีความผิดอย่างใหญ่หลวง ยังหวังว่าพระองค์จะยับยั้งโทสะ”
“ใต้เท้าต่ง”
บุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงเรียกเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง เขาก็คือองค์รัชทายาทอิงกว่า
ต่งอี้เฉิงก้มหน้าหมอบอยู่นานแล้วจึงเงยหน้าขึ้น “ยังหวังว่าพระองค์จะทรงอภัยโทษ”
อิงกว่าใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก น้ำเสียงเยียบเย็นเฉยเมย “ใต้เท้าต่งไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน มีความผิดอันใด กลับเป็นข้าที่ไม่ได้รายงานใต้เท้าก่อนก็มาเฉาอันแล้ว จึงจะเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้กับใต้เท้า”
ต่งอี้เฉิงลนลานก้มหน้าลงอีกครา พูดเสียงสั่น “กระหม่อมมิกล้า!” เขานิ่งไปชั่วขณะ แล้วบอก “เรื่องที่ค่ายใหญ่ชิงโจวและค่ายสามสิบเจ็ดแห่งตามแนวชายแดนทางเหนือหย่อนยาน กระหม่อมได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว คนที่คุกเข่าในลานด้านนอกล้วนเป็นผู้ที่ปกติมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการทหารของเฉาอัน จะไถ่ถามจะลงโทษ สุดแล้วแต่พระองค์จะทรงเห็นสมควรพ่ะย่ะค่ะ”
อิงกว่าลุกขึ้น “นับแต่รัชศกเฉียนเต๋อปีที่สิบเจ็ดจนถึงวันนี้ เฉาอันเป่ยลู่ของเจ้าทุกปีล้วนเรียกร้องเบี้ยรายเดือนและเสบียงทหารจากราชสำนัก ฝ่าบาททรงทราบว่าชายแดนทางเหนือยังไม่สงบ ทั้งกังวลเรื่องทัพใหญ่ของหมู่บ้านทางใต้ของเป่ยเจี่ยน ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยปฏิเสธคำขอของท่าน ท่านต้องการเท่าใดก็ให้เท่านั้น เพียงต้องการให้ทางเหนือปลอดภัยก็พอ”
หน้าผากต่งอี้เฉิงพลันมีเหงื่อหยด เขาไม่กล้าส่งเสียง
อิงกว่าสะบัดมือกวาดหนังสือกราบทูลกล่าวโทษปึกหนาหลายชุดบนโต๊ะลงไปที่พื้น “ในช่วงสองปีมานี้มักมีกลุ่มโจรก่อปัญหาที่ชายแดนทางเหนือ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านการทหารของเฉาอันทำอะไรกิน กองทัพพิทักษ์แผ่นดินสิบหมื่นนายของชายแดนทางเหนือท่านเลี้ยงดูอย่างไร ในราชสำนักไม่ใช่ไม่มีคนร้องทุกข์กล่าวโทษท่าน แต่หนังสือกราบทูลกล่าวโทษท่านล้วนถูกฝ่าบาทระงับไว้ แต่ท่านปฏิบัติต่อราชโองการเช่นไร คงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขนานเกินไปแล้ว เข้าใจว่าเป่ยเจี่ยนจะไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นเช่นนั้นหรือ”
ต่งอี้เฉิงเหลือบตาขึ้นคิดจะโต้แย้งสักสองคำ แต่พอมองสบสายตาดุจคมกระบี่ของบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าคำพูดอะไรก็พูดไม่ออกแล้ว
อิงกว่ากล่าวเสียงเย็นขึ้นอีก “เข้าเมืองหลวงไปรายงานผลการปฏิบัติงานทุกครั้ง ก็จะบ่นว่าราชสำนักให้ความสำคัญต่อขุนนางจากหัวเมืองทางตะวันออกตะวันตกสองด้าน ดูแคลนพวกท่านขุนนางที่อยู่ในเส้นทางต่างๆ ของดินแดนที่ยอมจำนนเหล่านี้…ท่านลองพูดมาซิ ยี่สิบแปดเส้นทางในแคว้นต้าผิงมีผู้บัญชาการกองบัญชาการอันฝู่ของเส้นทางใดมีทรัพย์สินให้เก็บมากเหมือนท่านบ้าง”
“องค์รัชทายาท กระหม่อมหาได้มี…”
อิงกว่าปลดกระบี่ที่เอวออกมาจ่อไปที่พื้น “ตอนนั้นฝ่าบาทกับผิงอ๋องยกทัพจับศึกครอบครองใต้หล้า ไม่ว่าจะลำบากเพียงใดหรือยากเย็นเพียงใดก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเหล่าทหารหาญอย่างขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย มาบัดนี้ค่ายใหญ่ชิงโจวและค่ายอื่นอีกสามสิบเจ็ดแห่งทหารไม่เข้มแข็งม้าไม่แข็งแรง กำแพงทรุดโทรมผุพังไม่มีใครซ่อมแซม ทหารที่เกราะอาวุธหอกโล่ขึ้นสนิมมีจำนวนนับไม่ถ้วน เงินที่ราชสำนักจัดสรรให้ท่านทุกปีเพื่อดูแลกองทัพไปอยู่ที่ใดหมด” ฝ่ามือของเขาลูบไล้ไปที่ด้ามกระบี่หลายครั้งแล้วกล่าวต่อ “หากวันหนึ่งข้างหน้าเกิดความวุ่นวายขึ้นที่ชายแดนทางเหนือ ต่อให้ประหารพวกเจ้าขุนนางทั้งที่ทำการในเฉาอันก็ไม่อาจชดเชยความผิดพลาดนี้ได้!”
“องค์รัชทายาทโปรดทรงอภัยโทษ! องค์รัชทายาทโปรดทรงอภัยโทษ!…” ต่งอี้เฉิงหมอบลงกับพื้น โขกศีรษะติดๆ กัน
เขามองต่งอี้เฉิงด้วยสีหน้าแววตาเย็นชา ขณะจะพูดต่อ ที่ด้านนอกห้องรับรองพลันมีเสียงคนรายงานอย่างหวั่นหวาดขึ้น “ทูลองค์…องค์รัชทายาท เมื่อครู่ทางสนามสอบส่งคนมา บอกว่าเสิ่นไท่ฟู่ให้คนเอากระดาษข้อสอบชุดหนึ่งมาถวายให้องค์รัชทายาททอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
ต่งอี้เฉิงได้ยินแล้วรีบลุกขึ้นมาจากพื้น ออกไปข้างนอก สั่งขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายให้กลับไปจัดการงานของตนเอง แล้วเชิญคนจากสนามสอบเข้ามา
ผู้มาสวมเสื้อม่วงคลุมเสื้อคลุมสั้น หลังจากทำความเคารพแล้วก็หยิบกระดาษข้อสอบที่คัดลอกมาชุดหนึ่งออกจากในแขนเสื้อ ส่งมอบให้ “แม้จะไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ แต่เสิ่นไท่ฟู่ยังคงสั่งให้กระหม่อมนำมาถวายให้องค์รัชทายาทผ่านพระเนตร”
อิงกว่าเลิกคิ้ว รับมาพลางบอก “ในเมื่อปิดสนามสอบพิจารณาตัดสินแล้ว เหตุใดจึงทำผิดธรรมเนียม ไท่ฟู่มีจุดประสงค์ใด…”
ผู้มาก้มหน้าเอ่ย “เสิ่นไท่ฟู่ได้คัดชื่อคนผู้นี้ออกจากการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของสตรีในครั้งนี้แล้ว ดังนั้นจึงนำกระดาษข้อสอบที่คัดลอกมาถวายให้องค์รัชทายาททอดพระเนตรได้”
“คัดชื่อออก?” เขาย่นหัวคิ้ว “บากบั่นพากเพียรมานับสิบปีไม่ง่าย เพราะเหตุใดคนผู้นี้จึงถูกคัดชื่อออก”
“ชี้ข้อบกพร่องของราชสำนักและเสนอให้แก้ไขใหม่ ลงมือเขียนอย่างโผงผางดุดัน อาศัยหัวข้อในการสอบมาเขียนความเรียงที่ไม่สอดคล้องกัน ไท่ฟู่บอกคนผู้นี้แม้จะมีสติปัญญาความสามารถ มีความกล้าหาญ แต่กลับถูกสงสัยว่าต้องการโอ้อวดความสามารถ มีเจตนาจะเสนอความคิดที่แตกต่าง ดังนั้นจึงทำตามกฎระเบียบคัดชื่อออก”
อิงกว่าสีหน้าเยียบเย็นเล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุใดจึงตั้งใจเอามาให้ข้าอ่านโดยเฉพาะ”
“ไท่ฟู่บอกว่าเสียดายผู้มีความรู้ความสามารถ…ไท่ฟู่ยังบอกว่าความเรียงนี้อาจสอดคล้องกับความต้องการของพระองค์”
เขานิ่งเงียบ นิ้วเรียวยาวของมือขวาขยับเล็กน้อย กระดาษแผ่นนั้นคลี่ออก หลังจากอ่านอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ส่วนลึกในดวงตาปรากฏประกายฉงนขึ้นจางๆ เขาเงยหน้าขึ้นถามผู้มา “รู้ชื่อสกุลของคนผู้นี้หรือไม่”
ผู้มาพยักหน้า “เมิ่งถิงฮุย”