ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 6
นับแต่ยามเหม่า ด้านนอกตำหนักเป่าเหอก็มีข้ารับใช้ในวังนำจิ้นซื่อสตรีสิบอันดับแรกหลังจากสอบหน้าพระที่นั่งมารอที่นี่ รอจนองค์รัชทายาทมีรับสั่งเรียกพบ ก็ทยอยเข้าไปเข้าเฝ้าในตำหนักทีละคน
ตะวันยามเช้าโผล่ขึ้นมาทางตะวันออก แล้วเคลื่อนช้าๆ ขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้า อิฐสีเทาอมดำในวังที่ใต้ฝ่าเท้าก็ถูกแผดเผาจนเริ่มร้อนเช่นกัน
เมิ่งถิงฮุยยืนนิ่งไม่ขยับ
ผ่านยามซื่อ มาแล้ว ยังคงไม่มีใครมาเรียกตัวนาง แสงอาทิตย์ยามเที่ยงร้อนระอุ แผดเผาจนใบหน้าของนางแดงก่ำ
รอจนหลังจากคนที่เก้าที่อยู่ตรงหน้าเมิ่งถิงฮุยถูกเรียกไปเข้าเฝ้าแล้ว จึงมีขันทีคนหนึ่งเดินลงมาจากบันไดตำหนักที่อยู่สูง กล่าวกับนาง “แม่นางเมิ่ง ถึงตาท่านแล้ว”
นางหายใจลึกๆ ทีหนึ่งแล้วเดินตามหลังขันทีผู้นั้นเข้าไปในตำหนัก
ประตูตำหนักค่อยๆ ปิดลงข้างหลังนาง เสียงดังน่าครั่นคร้าม
แสงอาทิตย์ที่ร้อนแผดเผาถูกผนังตำหนักที่แน่นหนากันให้อยู่ข้างนอก ในตำหนักร่มและเย็น ในอากาศคล้ายมีไอน้ำเจืออยู่ ครู่เดียวก็ทำให้ริมฝีปากที่แห้งร้อนลวกของนางชุ่มชื้นขึ้น
“นั่งลง”
ไม่รอให้นางเห็นคนในตำหนักชัด ไม่รอให้นางทำความเคารพตามรูปแบบของขุนนาง เสียงของเขาก็ดังมาเข้าหูนาง เย็นชุ่มชื่นเช่นกัน ทั้งเจือความแหบเล็กน้อย พุ่งตรงไปที่ปลายยอดดวงใจ
นางหลับตาลง ปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างในตำหนัก เหลือบไปเห็นม้านั่งสูงบุผ้าดิ้นตั้งอยู่ข้างๆ แต่นางไม่ได้ขยับ เพียงมองไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า เอ่ยปากขึ้นเบาๆ “องค์รัชทายาท”
เสื้อคลุมบางชั้นเดียวเห็นไปถึงร่างกายแข็งแกร่งที่อยู่ข้างใน ตัวเสื้อด้านหน้ามีลวดลายเส้นสีทองตัดสลับซับซ้อนกัน นัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้า ใบหน้าอยู่ใต้เงาสลัวเล็กน้อย คิ้วเฉียงดุจคมดาบ สีหน้าเคร่งขรึม
เมิ่งถิงฮุยพลันรู้สึกลำคอค่อนข้างแห้งผาก ปลายนิ้วค่อนข้างชา นางกลอกตามองไป ในตำหนักถึงกับไม่มีใครอยู่เลย หัวใจอดเต้นตึกตักไม่ได้
เขามองตรงมา เอ่ยเรียกนาง “เมิ่งถิงฮุย”
นางพลันได้สติกลับมา รีบก้มหน้า “องค์รัชทายาท”
“อยากได้ตำแหน่งจ้วงหยวนถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขาเปิดปากถามอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงดุจคมมีดที่ฟันลม
นางสองหูสั่นสะท้านเล็กน้อย ฟังชัดแล้วกลับคล้ายฟังไม่ชัด สีหน้าดูโง่เขลา
เขาไม่รีบร้อน เพียงรอนางเปิดปากเงียบๆ
ทั้งตำหนักเงียบกริบ ด้านนอกมีเสียงนกกระพือปีกพึ่บพั่บผ่านชายคาเป็นครั้งคราว ก่อกวนให้หัวใจของคนยิ่งปั่นป่วนมากขึ้น
นางสีหน้าสงบนิ่ง พูดช้าๆ ทีละคำ “หม่อมฉันไม่เพียงอยากได้ตำแหน่งจ้วงหยวน”
เขาฟังคำพูดนี้แล้วกลับไม่รู้สึกประหลาดใจ เพียงบอก “ยังต้องการอะไรอีก”
นางเอ่ยปากเบาๆ “องค์รัชทายาทตรัสไว้ สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งในครั้งนี้จะได้รับอนุญาตให้เข้าบัณฑิตกองอาลักษณ์ ประทานตำแหน่งเปียนซิวลำดับหลักขั้นเจ็ด ทว่าตามบันทึกของราชสำนัก ผู้ที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งล้วนได้รับตำแหน่งเปียนซิวลำดับหลักขั้นหก เพราะเหตุใดสตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งกลับต้องต่ำกว่าผู้อื่นครึ่งขั้นเล่าเพคะ”
เขาถือที่ทับกระดาษหยกเล่นอยู่ในมือ กล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เจ้ายังไม่ได้เป็นจ้วงหยวน ยังไม่มีคุณสมบัติจะวิพากษ์วิจารณ์วิธีการของราชสำนัก”
นางก้มหน้า “ถ้าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องรอให้อยู่ในตำแหน่งก่อนจึงจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ แล้วชื่อเสียงของกองอาลักษณ์ที่ว่าแสดงความคิดเห็นอย่างเที่ยงธรรมมาจากที่ใดหรือ”
เป็นปากที่ร้ายกาจยิ่ง
เขาวางที่ทับกระดาษลง ลุกขึ้นอ้อมโต๊ะลงบันไดเดินมาจนถึงเบื้องหน้านาง แล้วถามขึ้น “เจ้าลองว่ามาซิ ถ้าให้เจ้าเป็นจ้วงหยวน เจ้าจะเป็นอย่างไร”
นางเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่พระองค์ตรัสแล้ว หม่อมฉันยังไม่ได้เป็นจ้วงหยวน ยังไม่มีคุณสมบัติพูดเรื่องเหล่านี้เพคะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ปลายคางของนางก็ถูกเขากุมไว้ บังคับให้เงยขึ้น
นางตื่นตระหนกเล็กน้อย ช้อนตาขึ้นมองสบสายตาของเขา ดวงตาคู่หนึ่งลึกล้ำดุจสายธารลึกในซอกเขา ในก้นบึ้งมีประกายเยียบเย็น
ข้อศอกของเขางออยู่ครึ่งหนึ่ง ก้มศีรษะลงมองประเมินนาง ความทรงจำในส่วนลึกของเขาผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่จนแล้วจนรอดก็มองไม่ออกว่านางคือเด็กคนนั้นในตอนนั้น นิ้วมือที่บีบปลายคางนางอยู่ยังคงไม่ผ่อนแรง เป็นนานจึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ “ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นจ้วงหยวนถึงเพียงนี้ ข้าก็จะให้เจ้าเป็นจ้วงหยวน ไม่เพียงให้เจ้าเป็นจ้วงหยวน ยังประทานตำแหน่งเปียนซิวลำดับหลักขั้นหกของกองอาลักษณ์ให้เจ้าด้วย อนุญาตให้เข้าวังตะวันออกทำหน้าที่ขุนนางอ่านบรรยายและแก้ไขประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ก่อน ทั้งประทานถุงปลาเงินให้พกพา…เป็นอย่างไร”
ทุกถ้อยทุกคำเข้าไปในหูของเมิ่งถิงฮุย สั่นคลอนจิตใจของนางจนทำให้สับสนงุนงง
เมิ่งถิงฮุยเจ็บปลายคางเล็กน้อย เพียงเห็นส่วนลึกในดวงตาของเขามีความนัยลึกซึ้งแผ่คลุมขึ้นมาเป็นชั้นๆ แต่นางกลับไม่เข้าใจ
นางได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษเช่นนี้…
ที่แท้แล้วเขามีจุดประสงค์ใด
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ตอบเขากลับย้อนถาม “…กษัตริย์กับขุนนางแตกต่างกัน พระองค์ทรงกระทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้ ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบเกินไปแล้ว”
เขาคลายมือจากคางนาง “เจ้ากระทั่งผลการสอบจิ้นซื่อก็ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ จะใช้คำว่าขุนนางกับตนเองได้อย่างไร เปิดปากก็พูดจาเหลวไหลครั้งแล้วครั้งเล่า เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่”
นางเงยหน้าขึ้นมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา คลื่นในดวงตาสีประหลาดลึกล้ำกว้างใหญ่ดุจคลื่นที่โหมซัดสาด ท่วมท้นจนหัวใจของนางเปียกปอนชุ่มโชกไปหมด
เขาเลิกคิ้วมองสบสายตาของนาง
คำพูดประโยคนี้กำลังถากถางนาง เมิ่งถิงฮุยคิดในใจ จากนั้นนางย่อมคิดไปถึงเรื่องการสอบระดับมณฑล ก็ยิ่งรู้สึกว่าในใจของเขาต้องดูแคลนนางแน่นอน
ไม่รู้เหตุใดความคิดนี้กลับทำให้เมิ่งถิงฮุยยิ่งไม่ยินยอมแสดงความอ่อนแอออกมา เลือดในใจที่เดือดพล่านพุ่งตรงขึ้นสู่สมอง ถึงกับขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด มองเขาแล้วบอก “องค์รัชทายาทก็ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์สืบทอดการปกครอง จะแสดงตนเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่กษัตริย์กับขุนนาง เช่นนั้นถึงหม่อมฉันจะโผงผางไปสักหน่อยแล้วอย่างไร”
เขาฟังชัด อ้าปากทำท่าจะพูด
กลับคาดคิดไม่ถึงว่านางพลันขยับเข้ามาประชิดเขา เอียงศีรษะจุมพิตแก้มซ้ายของเขา
ขวัญกล้าเทียมฟ้า!