บทที่ 27-3
การสอบหน้าพระที่นั่งผ่านไปอย่างราบรื่นไร้คลื่นลม ทว่าในกลุ่มบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งสามคนกลับไม่มีชื่อของอิ่นชิง
วันที่ปิดประกาศย่อมมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง ชื่อเสียงของอิ่นชิงที่ก่อนหน้านี้ดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันก็ร่วงตกลงหมื่นจั้งพร้อมๆ กับความคาดหวังอย่างสูงของทุกคนที่มีต่อเขา
บัณฑิตเอกชั้นรองอันดับเจ็ดพระราชทานฐานะบัณฑิตจิ้นซื่อ
หากชื่อเสียงลาภยศนี้ตกอยู่กับผู้อื่น ย่อมเป็นนิมิตหมายที่เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลและบรรพบุรุษอย่างยิ่ง แต่เมื่อมาตกอยู่กับอิ่นชิง กลับทำให้ผู้คนรู้สึกน่าเสียดายอย่างมาก ในเมืองหลวงยิ่งมีคนบอกว่าอิ่นชิงไม่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง…ก็แค่นี้เอง
ก็แค่นี้เอง…
คำพูดนี้ตอนดังมาเข้าหูเมิ่งถิงฮุย เพียงทำให้นางอยากจะหัวเราะเยาะหยัน
โยนความสามารถเรื่องการเขียนบทกวีทิ้งไปไม่พูดถึง ความเรียงของอิ่นชิงในการสอบของกรมพิธีการนางได้อ่านแล้ว และหัวข้อในการสอบหน้าพระที่นั่งเปรียบกับการสอบของกรมพิธีการแล้วไม่นับว่ายาก นางไม่เชื่อว่าอิ่นชิงจะเขียนบทความที่ดีออกมาไม่ได้
นางสงสัยมากว่าฮ่องเต้อาจจงใจลดขั้นชื่อเสียงลาภยศของอิ่นชิง แต่ความคิดนี้อยู่ในสมองของนางเพียงไม่กี่อึดใจก็ถูกนางลบทิ้งไป ฮ่องเต้แม้จะมีความไม่พอใจ แต่ไม่มีทางจะละทิ้งผู้มีความสามารถไม่รับตัวไว้ นางในตอนนั้นไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีที่สุดหรือ
เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งรู้สึกว่าอิ่นชิงผู้นี้ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ถึงกับทำให้นางขบคิดไม่เข้าใจ
หลังการสอบหน้าพระที่นั่ง สรุปแล้วรับบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งสามคน บัณฑิตเอกชั้นรองยี่สิบแปดคน บัณฑิตเอกชั้นสามสี่สิบหกคน และในนั้นมีจิ้นซื่อสตรีทั้งหมดหกคน
การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้แม้จะไม่มีสตรีได้ตำแหน่งบัณฑิตเอกชั้นหนึ่ง แต่เมิ่งถิงฮุยกลับเบิกบานใจยิ่ง ไม่เคยคิดเลยว่าการสอบครั้งนี้จะมีสตรีได้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อถึงหกคน ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาของฮ่องเต้อย่างมาก
เขาเข้าใจจิตใจของนางอย่างแท้จริง ให้สิ่งที่นางต้องการ ทำให้นางนึกถึงความดีของเขาอย่างสุดซึ้ง ในใจพลันรู้สึกเลื่อมใสชื่นชมเขาอย่างยิ่ง
วันที่บัณฑิตจิ้นซื่อในปีนี้ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดคนไปรับการตรวจสอบที่กรมปกครอง เมิ่งถิงฮุยย่อมอยู่ด้วย นางสวมชุดขุนนางสีม่วงพร้อมถุงปลาทองดูสะดุดตาเป็นพิเศษ เกล้ามวยผมทรงหลิวอวิ๋นอย่างประณีตอยู่ด้านหลังศีรษะ ที่ทำงานยุ่งวุ่นวายอยู่รอบตัวล้วนเป็นเจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบคัดเลือกของกรมปกครอง บางครั้งก็เข้ามาขอความเห็นจากนางด้วยความนอบน้อม ยิ่งทำให้นางดูเรืองอำนาจ และทำให้เหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อในปีนี้อดไม่ได้ที่จะมองนางเป็นระยะ
ตอนแรกก็แอบๆ มอง เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีไม่พอใจจึงค่อยๆ มองอย่างใจกล้ามากขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นกลุ่มๆ คล้ายจะมองให้ทะลุไปถึงปอดและหัวใจของนาง ไม่ให้เหลือแม้แต่ชุ่นเดียว
เมิ่งถิงฮุย…ใต้เท้าเมิ่ง เข้าราชสำนักมาไม่ถึงสามปีก็เข้ามาอยู่ในกลุ่มขุนนางใหญ่สองฝ่าย ได้รับความโปรดปรานและความไว้วางใจจากฮ่องเต้อย่างมาก รับภาระหน้าที่สำคัญควบคุมดูแลฝ่ายตรวจสอบคัดเลือกของกรมปกครอง ขึ้นเหนือไปปราบปรามกองทหารจลาจลที่เฉาอัน เปลี่ยนแปลงรูปแบบการสอบเคอจวี่คัดเลือกปัญญาชนของราชสำนัก เวลานี้ยิ่งเป็นผู้ช่วยขุนนางผู้ควบคุมการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งแรกหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ซึ่งคนจากกลุ่มปัญญาชนในใต้หล้าเหล่านี้ต่างปรารถนาจะมองให้ทะลุ…ถึงแม้ในข่าวลือจะบอกนางช่างประจบสอพลอโหดเหี้ยมอำมหิต แต่จะต้านทานต่อเสน่ห์เย้ายวนใจที่สาดประกายออกมาทั่วร่างนางได้อย่างไร
แต่ในสายตาเหล่านั้นกลับมีอยู่คู่หนึ่งที่นิ่งเฉยอยู่ตลอดเวลา ไม่ร้อนรน เพียงมองนางอย่างสงบนิ่ง