ตอนนั้นเสิ่นอู๋เฉินรับตำแหน่งรองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายขวาตอนอายุสามสิบสอง นับเป็นอัครเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชสำนัก แต่ในปีที่อายุสามสิบเจ็ดกลับยื่นหนังสือกราบทูลขอลาออกจากราชการ เกษียณพำนักอยู่ที่เมืองหลวงเก่า รัชศกเฉียนเต๋อปีที่แปด หรือก็คือปีที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอายุแปดขวบ ซั่งหวงประกาศหาผู้มีคุณธรรมความรู้ในใต้หล้ามาเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาท ผู้มีความรู้ความสามารถทั้งราชสำนักไม่มีใครเข้าเกณฑ์สายตาที่เฉียบคมขององค์รัชทายาทได้ มีเพียงเสิ่นอู๋เฉินที่ได้รับบัญชาให้มาเมืองหลวงเท่านั้นที่ได้รับความชื่นชมจากองค์รัชทายาท และได้รับการแต่งตั้งเป็นไท่ฟู่ขององค์รัชทายาท เสิ่นอู๋เฉินแม้จะเป็นไท่ฟู่ แต่กลับมุ่งมั่นที่จะลาออกจากตำแหน่งออกจากราชสำนักหลังจากองค์รัชทายาทเริ่มเข้าร่วมจัดการงานราชการแผ่นดินและการทหาร ซั่งหวงคิดจะรั้งตัวเขาให้อยู่ในราชสำนักเพื่อปรึกษาหารือเรื่องบ้านเมือง หลังจากหารือกันหลากหลายวิธี ในที่สุดก็มีราชโองการเพิ่มตำแหน่งราชเลขาธิการให้กับเขา เมื่อใดก็ตามที่มีการประชุมใหญ่ของราชสำนักเสิ่นอู๋เฉินก็จะยืนอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าอัครเสนาบดี การได้รับพระราชทานเกียรติยศพิเศษขั้นนี้ในราชสำนักยากจะพบเห็นเป็นหนึ่งไม่มีสอง ถึงแม้สิบกว่าปีมานี้เสิ่นอู๋เฉินจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองน้อยมาก แต่เหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารในราชสำนักต่างก็ให้ความเคารพเขา ไม่กล้าดูเบาเขา
แต่สวีถิงได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจงในครั้งนี้กลับเกิดขึ้นหลังจากเมิ่งถิงฮุยฟ้องร้องกล่าวโทษเขาด้วยเรื่องจดหมายส่วนตัว! ความหมายที่แฝงอยู่ภายในย่อมไม่ธรรมดาแล้ว
สวีถิงถูกถอดจากตำแหน่งอัครเสนาบดีในคราวเดียว นับแต่นี้ไม่มีอำนาจก้าวก่ายกิจการงานของสำนักราชเลขาธิการ คลื่นแห่งการกล่าวโทษที่เหล่าขุนนางของสำนักตรวจการกลางได้พัดกระพือโหมขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ก็ควรจะหยุดลงได้แล้ว เห็นอยู่ว่ารองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายซ้ายของราชสำนัก ขุนนางอาวุโสของกลุ่มตะวันตกกำลังจะพังทลายลงแล้ว แต่ฮ่องเต้กลับมอบตำแหน่งราชบัณฑิตสำนักศึกษาหลวงเทียนรุ่ยพร้อมตำแหน่งซื่อจงให้กับสวีถิง นี่เห็นชัดว่าไม่ต้องการให้เมิ่งถิงฮุยผู้กล่าวโทษในความผิดของเขาเหิมเกริมเกินไป สวีถิงแม้ไม่มีอำนาจก้าวก่ายกิจการงานของราชสำนัก แต่ตำแหน่งที่ยืนกลับสูงกว่าอัครเสนาบดี ขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารในราชสำนักคนใดบ้างกล้าใช้โอกาสนี้โยนก้อนหินลงบ่อซ้ำเติมเขา แม้แต่เหล่าขุนนางกลุ่มตะวันตกที่ก่อนหน้านี้วุ่นวายอลหม่าน แต่ละคนต่างหวาดกลัวว่าอันตรายจะมาถึงตน หลังจากรู้ถึงราชโองการนี้ก็สงบลง ไม่ถึงกับพังทลายหนีหัวซุกหัวซุน และหันไปพึ่งพาอาศัยกลุ่มของเมิ่งถิงฮุย แต่คำพูดแม้จะเป็นเช่นนั้น ฮ่องเต้กลับไม่คล้ายต้องการจะปกป้องสวีถิงอย่างเต็มที่ หาไม่คงไม่เพียงมอบตำแหน่งราชบัณฑิตสำนักศึกษาหลวงเทียนรุ่ยให้แก่เขา แต่ไม่ให้ตำแหน่งหน้าที่ใดๆ เพียงมอบตำแหน่งซื่อจงที่ไม่มีอำนาจให้แก่เขา
ในสมองของเฉาจิงสับสนยุ่งเหยิงไปชั่วขณะ ความคิดต่างๆ แล่นเข้ามาในสมอง แต่เขามองเจตนารมณ์ที่แท้จริงของฮ่องเต้ไม่ออก
แต่ไรมาก็รู้ว่าจิตใจของฮ่องเต้ยากแก่การคาดเดา ถึงจะเป็นราชโองการภายในแสนเรียบง่ายไม่กี่คำ แต่ก็ทำให้เขาไม่กล้าบุ่มบ่ามตัดสินเรื่องในวันหน้าไปล่วงหน้า
ทว่าผู้คนในราชสำนัก ผู้ใดกล้าพูดว่าราชโองการฉบับนี้ไม่เปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณ
สามารถพูดได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้ไม่ใส่ใจคำทัดทานของขุนนางในราชสำนัก เพิกเฉยต่อหนังสือกราบทูลกล่าวโทษของทุกคน สามารถพูดได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้ดึงดันไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่น เพราะการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เรื่องจดหมายส่วนตัวของขุนนางอาวุโสจึงลงโทษเขาอย่างหนัก สามารถพูดได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง ตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์มาก็เอาแต่กำจัดลดทอนขุนนางอาวุโสมาโดยตลอด
ช่างน่าขัน!
ราชโองการของฮ่องเต้ฉบับนี้พูดได้ว่าปรีชาญาณเป็นอย่างยิ่ง
เฉาจิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง หันไปถามผู้อื่น “ทางราชสำนักได้มีราชโองการที่กล่าวถึงใต้เท้าเมิ่งหรือไม่” เรื่องของสวีถิงแม้จะได้ข้อสรุปแล้ว กลับไม่รู้ฮ่องเต้ได้เลื่อนขั้นลดตำแหน่งเมิ่งถิงฮุยหรือไม่
ทุกคนต่างสั่นศีรษะ แสดงท่าทีว่าไม่ทราบ
เฉาจิงย่นหัวคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก “ใต้เท้าเมิ่งทราบเรื่องนี้หรือไม่ เวลานี้นางอยู่ที่ใด”
คนที่อยู่ข้างกายผู้หนึ่งบอก “วันนี้พอมีราชโองการลงมาก็ลือกันไปทั่วทั้งนอกและในพระราชวัง ใต้เท้าเมิ่งน่าจะทราบแล้ว เพียงแต่นับแต่เลิกประชุมขุนนางตอนเช้าก็ไม่เห็นเงาร่างของใต้เท้าเมิ่งแต่อย่างใด ผู้น้อยได้สอบถามดูแล้ว เห็นว่าใต้เท้าเมิ่งมีนัดหมาย ไปยังห้องที่จองไว้ที่หอวั่นถิงทางตะวันออกของเมืองแล้วขอรับ” คนผู้นั้นเห็นเฉาจิงมีสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ จึงยิ้มน้อยๆ และอธิบาย “ใต้เท้าเฉามีงานยุ่งจนลืมแล้ว วันนี้เป็นวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด!”
ครานี้เฉาจิงจึงนึกขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน