ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่หนึ่ง

 ยามเที่ยงวันกลางคิมหันตฤดูที่ปราศจากสายลมโชยพัด ดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้าบาดตา ทั้งคนและแมวหากไม่นอนกลางวันอยู่ในห้องพัก ก็จะหาที่ที่มีร่มเงาหลบร้อน ทำให้อารามปี้อวิ๋นที่กว้างใหญ่เงียบสงัดไร้สรรพเสียงใด

ฟู่ถิงจวินใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้านวล สวมหมวกไม้ไผ่สานบนศีรษะ กำลังเดินเลียบเลาะกำแพงรั้วด้านหลังของอารามซึ่งมีพงหญ้าพงหนามขึ้นอยู่รกทึบแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอย่างเชื่องช้า

พื้นดินถูกแดดเผาจนแห้งผาก แผ่กระไอร้อนระอุอวลขึ้นมาจนนางหลั่งเหงื่อดุจสายฝน ไม่นานนักอาภรณ์ก็เปียกชื้นแฉะแนบติดลำตัว กระโปรงของนางยังถูกพุ่มไม้หนามต่ำเตี้ยเกี่ยวไว้เป็นพักๆ อีกทั้งพอสาวเท้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็จะมีแมลงตัวเล็กบินกรูออกมาจากพงหญ้าเป็นฝูงดำทะมึนส่งเสียงดังหึ่งๆ หญิงสาวตกอยู่ในสภาพทุลักทุเลเต็มที ประเดี๋ยวต้องก้มตัวลงแกะชายกระโปรงที่เกี่ยวติดกับกิ่งหนามออก ประเดี๋ยวก็ต้องเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาคอยปัดไล่แมลงที่ไม่รู้จักชื่ออีก

ทว่าฟู่ถิงจวินไม่มีเวลาคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น นางหันรีหันขวางก่อนจะหยุดฝีเท้าตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในที่สุด

ต้นไม้ต้นนั้นใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบ จะเป็นเพราะมีลมกระโชกแรงหรือว่าถูกฟ้าผ่าก็สุดจะรู้ได้ มันหักโค่นตรงกลาง ลำต้นท่อนบนล้มลงไปทับกำแพงรั้วด้านข้างแห้งตายเน่าผุกลายเป็นโพรงรังมด ขณะที่ลำต้นใหม่ซึ่งแตกออกจากส่วนโคนต้นอวบหนาเท่าปากชามข้าวแล้ว ซ้ำยังผลิใบหนาทึบทอดตัวยาวออกไปนอกกำแพง

ที่เห็นจากชั้นสองของหอพระธรรมวันนั้นก็คือต้นนี้ล่ะ!

หญิงสาวลอบยินดีอยู่ในใจ ดวงหน้าที่เครียดขรึมอยู่แต่เดิมมีรอยยิ้มจางๆ

นางเตะที่ลำต้นใหม่แรงๆ

ใบไม้สั่นระริกดังซ่าๆ ระลอกหนึ่ง แต่ลำต้นยังพาดอยู่บนกำแพงอย่างมั่นคงดุจเดิม

ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้มอย่างพอใจแล้วถอดหมวกสานออก เผยให้เห็นเรือนผมดกดำงามสลวย

นางเอามุมหนึ่งของชายกระโปรงเหน็บกับผ้าคาดเอว จากนั้นยกเท้าไต่ขึ้นต้นไม้อย่างระมัดระวัง

ลำแสงสว่างจ้าทอลอดผ่านใบไม้ทอดเงาวูบวาบเป็นวงๆ ทาทาบไปตามใบหน้า เรียวมือ และอาภรณ์ของนาง

หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตาปีนป่ายขึ้นไปถึงบนขอบกำแพงในเวลาอันรวดเร็ว แหวกใบไม้ที่บดบังสายตาออก แต่แล้วไม่มีทั้งวี่แววและสุ้มเสียงใดๆ บอกให้รู้ตัวล่วงหน้า ด้านหลังใบไม้ก็มีใบหน้าบุรุษผู้หนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน

ทั้งสองอยู่ใกล้กันขนาดนั้น ใบหน้าประชิดใบหน้า ปลายจมูกแตะปลายจมูก นางถึงขั้นได้กลิ่นสาบเหงื่อจากตัวอีกฝ่าย และรับรู้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของเขาที่เป่ารดใส่ริมฝีปากของตนเอง

“ว้าย…” หลังจากชะงักค้างไปอึดใจหนึ่ง ฟู่ถิงจวินร้องอุทานด้วยความตื่นตกใจ ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณโดยลืมเลือนไปว่าขณะนี้นางกำลังยืนอยู่บนกิ่งไม้เหนือพื้นดิน ยามฝ่าเท้าสัมผัสกับความว่างเปล่า ตัวนางก็ร่วงหล่นลงบนพงหญ้าใต้ต้นไม้ไปแล้ว

กำแพงสูงอย่างนั้น ไฉนมีคนปรากฏกายอยู่บนขอบกำแพงได้

หญิงสาวคิดคำนึงพลางตะกายลุกขึ้นอย่างงุนงง นางรู้สึกหน้ามืดวูบๆ วาบๆ และจุกแน่นตรงลำคอ พร้อมกับถูกกระชากตัวขึ้นมาแล้วผลักไปชิดติดกำแพงในชั่วพริบตา

ฟู่ถิงจวินเจ็บแปลบอย่างรุนแรงตรงกลางหลังซึ่งกระแทกเข้ากับผิวกำแพงขรุขระ ทำให้ลมหายใจติดขัดไปในทันใด

“ปล่อยข้านะ!” นางคิดว่าตนร้องตะโกนออกมา ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงดังอู้ๆ อี้ๆ แล้วพอคิดจะออกแรงเตะต่อย มือเท้าก็อ่อนปวกเปียกจนยกไม่ขึ้น คล้ายเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจนหมดตัวก็ไม่ปาน

จบกัน จบกันตอนบ่ายเงียบสงัดไร้ผู้คน ในลานกว้างด้านหลังที่เปลี่ยวร้างห่างไกล มีบุรุษปีนกำแพงด้านหลังอาราม…นางถึงคราวชะตาขาดแล้ว!

ทั้งที่ในใจรู้แจ้งดี หากแต่ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้

ฝ่ามือที่กำอยู่รอบคอผ่อนแรงเล็กน้อย มีอากาศบางเบาแทรกผ่านเข้ามา

ฟู่ถิงจวินอ้าปากสูดหายใจอย่างตะกรุมตะกราม

เสียงทุ้มต่ำห้วนกระด้างเจือรอยเหี้ยมเกรียมของบุรุษดังขึ้นที่ริมหู “หากเจ้ากล้าส่งเสียงแม้สักนิด ข้าจะหักคอเจ้าทันที”

สุ้มเสียงของเขาไม่ดังไม่เบา ทั้งยังเนิบนาบราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทว่าแผ่รังสีคุกคามข่มขวัญได้มากกว่าเสียงร้องตวาดดุดัน

หญิงสาวอ่อนระทวยไปทั้งร่าง นางพยักหน้าสุดแรงอย่างหวั่นกลัวสุดใจว่าคนผู้นั้นจะไม่เชื่อถือ แต่ในสายตาเขาเห็นนางแค่ผงกศีรษะน้อยๆ เท่านั้น

ฝ่ามือบนลำคอค่อยๆ คลายออกอย่างลองหยั่งเชิงอยู่บ้าง

นางเข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ยกสองมือกุมคอพลางกระอักกระไออย่างอึดอัดทรมาน ครั้นนึกถึงถ้อยคำของบุรุษผู้นั้นขึ้นได้ก็รีบกลั้นไอเอาไว้แล้วเงยหน้ามองพินิจอีกฝ่ายอย่างตื่นกลัว

บุรุษตรงหน้ามีอายุราวยี่สิบ เรือนกายสูงใหญ่ทว่าผอมเกร็ง เขาสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้างหลวมโพรกเพรกทำจากผ้าเนื้อหยาบเก่าซีดจนมองสีเดิมไม่ออก ดวงตาลึกเป็นเบ้าชัดคู่นั้นเปล่งประกายคมปลาบอย่างน่าพิศวง ส่วนริมฝีปากแตกแห้งเม้มเข้าหากันแน่น สายตาเขาที่เพ่งมองนางเย็นชาและดุดัน ท่วงท่าประหนึ่งพญาอินทรีก้มลงมองนกกระจอก

ในใจฟู่ถิงจวินหนักอึ้ง หางตาชำเลืองดูเท้าเขาแวบหนึ่งอย่างว่องไว

ไม่ใส่รองเท้า ขากางเกงพับปลายขึ้นสั้นข้างยาวข้าง เผยผิวกายที่กรำแดดจนเป็นสีทองแดง

หัวใจหญิงสาวดิ่งวูบลงไม่หยุด

คนที่ดุร้ายอำมหิตเยี่ยงนี้ ถึงเกิดในครอบครัวยากจนข้นแค้นอย่างไรก็ยังมีพวกเจ้าหนี้อันธพาลหรือพ่อค้าคหบดีว่าจ้างให้ทำงาน แต่เขากลับขัดสนจนไม่มีปัญญาแม้แต่จะสวมรองเท้าฟางสักคู่…เว้นเสียว่า…เขาเผยตัวไม่ได้!

นางตัวสั่นเทาอย่างสุดระงับ!

จะเป็นโจรสลัดที่ทางการออกประกาศตามจับ หรือเป็นนักโทษหลบหนีที่สังหารคนตายในบ้านเกิด?

ไม่สำคัญว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง นางเปิดเผยร่องรอยของเขาแล้ว…คงต้องถูกฆ่าปิดปากกระมัง!

แขนขาของนางหมดสิ้นเรี่ยวแรง สายตาหยุดอยู่ที่ฝ่ามือใหญ่ดุจคีมเหล็กที่ข้อนิ้วปูดโปนชัดเจนอย่างห้ามไม่อยู่

ฟู่ถิงจวินยังจดจำความรู้สึกยามที่มันกำรอบคอตนเองได้ดี

ไม่ถูกสิ หากเขาคิดจะฆ่าคนก็สามารถบีบคอนางให้ตายได้เลย ไยต้องข่มขู่นางด้วยวาจา

นางนึกถึงตอนเขาคลายมือออกเพื่อหยั่งเชิง แล้วความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นในหัว

หรือว่า เขากริ่งเกรงอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน!

นางค่อยๆ ใจชื้นขึ้นทีละน้อย พร้อมกับกำลังกายที่ฟื้นคืนกลับมา นางรีบเร่งขบคิดหนทางรับมือ

หากเดาไม่ผิด ในเมื่อเขาไม่อาจเผยตัวได้ คงไม่แยแสว่าจะสังหารใครเพิ่มอีกสักคนเป็นแน่…อย่างมากก็กลัวว่าหลังจากนั้นจะมีคนพบศพ หรือญาติพี่น้องคนตายแจ้งทางการ และส่งผลให้เบาะแสของเขาถูกเปิดโปงออกมาเพราะเหตุนี้…

ในเวลาเช่นนี้ ลังเลมากขึ้นส่วนหนึ่งก็มีอันตรายมากขึ้นส่วนหนึ่ง!

“ท่านผู้กล้า” นางไม่ชักช้ารีรอ ฝืนทนอาการเจ็บเคืองลำคอเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าเป็นบุตรสาวสกุลฟู่ในหวาอิน อารามปี้อวิ๋นแห่งนี้เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลข้าเอง เพราะอากาศร้อนอบอ้าวข้าก็เลยพาสาวใช้มาพักผ่อนที่นี่ ข้าได้ยินมาว่าลานด้านหลังมีป้ายหินสลักลายมือนักเขียนพู่กันเลื่องชื่อของราชวงศ์ก่อนอยู่หลายป้าย เลยอยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อย เพียงแต่ครั้งก่อนๆ รีบมารีบกลับทำให้ไม่มีโอกาส พอคราวนี้ได้มาอยู่พำนักที่นี่ชั่วคราว นึกว่าได้โอกาสแล้ว แม่นมกลับรู้สึกว่าอากาศร้อนมากเกินไป กลัวข้าจะเป็นไข้แดดจึงไม่ยอมให้มา ข้าถึงต้องสบช่องปลอดคนมาดูเงียบๆ…”

สีหน้าเขาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ดังเก่า แต่ดูเหมือนแววตามีรอยลังเลไม่แน่ใจผุดวาบขึ้น

ฟู่ถิงจวินลอบยินดี น้ำเสียงยิ่งอ่อนหวานขึ้น “ชายหญิงไม่พึงพบปะพูดคุยกันตามลำพัง ถ้าแม่นมพบว่าข้าอยู่กับบุรุษสองต่อสอง กลัวว่าจะถูกนางว่ากล่าวตำหนิ…” นางก้มหน้าหลุบตาลงแสร้งทำทีเป็นเศร้าสลด แต่แอบดูสีหน้าเขาทางหางตา “แล้วถ้านางบอกกับท่านแม่ คงต้องทำให้ท่านผู้กล้าเดือดร้อนไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้…”

เขาเบะมุมปาก ตัดบทนางกะทันหัน “เจ้าบอกว่าเจ้าคือสตรีสกุลฟู่ในหวาอินรึ” เสียงของเขาเรียบเฉย จับความรู้สึกไม่ออก

“ใช่!” นางรีบนั่งคุกเข่าอย่างเรียบร้อย สองมือกุมประสานกันวางบนหัวเข่า “ข้าเป็นบุตรสาวคนที่เก้าของตระกูล”

“อ๋อ” เขาส่งเสียงคำหนึ่ง หางเสียงที่สูงขึ้นน้อยๆ แฝงรอยเยาะหยันอย่างบอกไม่ถูก “สกุลฟู่ที่มีซุ้มประตู* ห้าช่องอยู่ด้านหน้า นอกจากป้ายพระราชทานบรรดาศักดิ์ราชครูขององค์ชายรัชทายาทกับบัณฑิตชั้นเอกแล้ว สามป้ายที่เหลือล้วนเป็นป้ายสดุดีภรรยาผู้ซื่อสัตย์นั่นน่ะหรือ?”

ฟู่ถิงจวินสัมผัสได้ทันทีว่าเขาเหยียดหยามสกุลฟู่มากพอดู หางคิ้วนางเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย

มาตรว่าหลายชั่วคนที่ผ่านมาสกุลฟู่จะไม่มีลูกหลานเป็นขุนนางใหญ่โตอีกแล้ว แต่ประเพณีของวงศ์ตระกูลยังยึดถือในความใจซื่อมือสะอาด เคร่งครัดสำรวมตนเฉกเดียวกับในกาลก่อน จึงได้รับความเคารพเลื่อมใสจากผู้คน

เขาถึงกับดูแคลนสกุลฟู่เชียวหรือนี่!

นางตั้งท่าจะเอ่ยวาจาแต่ชะงักไป

เวลานี้โต้เถียงกับเขาด้วยเรื่องนี้มิใช่ความคิดที่ฉลาดอย่างเห็นได้ชัด

คนพรรค์นี้เช่นเขา หากเข้าใจว่าอันใดคือศีลธรรมจรรยาและความละอายใจ ไหนเลยจะตกต่ำอยู่ในสภาพแบบนี้ การพูดเรื่องความซื่อสัตย์กตัญญูและเมตตาคุณธรรมกับเขา เกรงว่าจะเป็นการดีดพิณให้วัวฟัง มิสู้บอกเขายังดีเสียกว่าว่าถ้าเขาปล่อยนางไปนางจะมอบเงินให้เขาก้อนหนึ่งโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้เห็น ดีที่นางพอมีเครื่องประดับติดตัว ถ้านำไปแลกเป็นเงินน่าจะได้สักร้อยสองร้อยตำลึงเงิน แม้ไม่เพียงพอจะทำให้เขาอยู่อย่างสุขสบายเป็นอิสระ ทว่าอย่างน้อยสามารถแก้ขัดในยามนี้ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากเสนอเงื่อนไขนี้ออกมาแล้วเขาจะได้คืบเอาศอกหรือไม่ แต่นางมาที่นี่อย่างฉุกละหุก ไม่มีอะไรให้มากกว่านี้แล้ว

ฟู่ถิงจวินตัดสินใจไม่ถูกอยู่บ้าง

คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าบอกว่าที่นี่เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลฟู่หรือ”

นางรีบหยุดความคิดลง “อื้อ!”

“อย่างนั้นเจ้าน่าจะรู้ว่าเรือนครัวอยู่ที่ใดกระมัง” เขากล่าวเสียงเรียบ “เจ้าหาเส้นทางเล็กๆ เปลี่ยวๆ หลบหลีกผู้คนในอารามพาข้าไปที่นั่นที!”

ไป…เรือนครัว!

ฟู่ถิงจวินตกใจมากแต่ไม่กล้าถามอะไร นางเกาะตอไม้เก่าๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน

อาจเป็นเพราะลุกพรวดพราดเร็วเกินไป หรืออาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ชนถูกที่ใดเข้า นางจึงตาลายเห็นดาวระยับจนต้องหลับตาลงพัก ครู่หนึ่งถึงผ่อนลมหายใจเป็นปกติได้ จากนั้นก็เดินไปทางทิศตะวันออกอย่างช้าๆ

เขาตามอยู่ด้านหลังนางเงียบๆ ย่างเท้าออกจากลานกว้างด้านหลังเข้าสู่ทางเดินแคบๆ ด้านข้าง

ทางเดินสายนี้ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้ ดวงอาทิตย์ส่องแสงตรงลงมากลางศีรษะ เปลวแดดไหวระริกจนฟู่ถิงจวินวิงเวียนตาพร่า กระนั้นยังเทียบมิได้กับประกายตาคมกล้าจนน่าประหวั่นพรั่นพรึงของคนด้านหลังที่คลับคล้ายจะส่องทะลุร่างให้เป็นรู นางไม่กล้าคิดมาก ทั้งยิ่งไม่กล้าเดินพลาดแม้สักก้าวเดียว แต่ยังดีที่ไม่พบเจอใครระหว่างทาง

เรือนครัวตั้งอยู่ตรงมุมทิศตะวันออก ข้างในมืดสลัวและเงียบสนิทปราศจากผู้คน

เขารื้อค้นเรือนครัวอยู่นานพักหนึ่ง หยิบทั้งหมั่นโถว แป้งย่าง ผักดอง รวมกระทั่งข้าวสวยที่กินเหลือครึ่งชามมาวางกองรวมกันแล้วห่อด้วยเสื้อ

ฟู่ถิงจวินก้มหน้าลงตอนที่เขาถอดเสื้อออก ผิวแก้มนางร้อนซู่

โตมาจนป่านนี้เป็นคราแรกที่นางเห็นบุรุษเปลื้องอาภรณ์เบื้องหน้าตนเอง

กิริยามารยาทหยาบกระด้างยิ่งนัก สมกับเป็นพวกชาวป่าชาวเขา!

“ไปเถอะ!” เวลาไม่ถึงชั่วพริบตา ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งถือเสื้อที่ห่อของกินไว้ อีกมือหนึ่งยกไหใส่ข้าวสารขนาดเท่าถังน้ำใบหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า

ไป? ไปไหน ที่นี่กับที่พำนักของนางห่างกันแค่เรือนหลังหนึ่งกั้นกลาง

สีหน้านางซีดเผือดเมื่อความคิดหนึ่งแล่นวาบเข้ามาในหัว

เขาจะให้นางกลับไปที่ลานด้านหลังพร้อมกับเขา!

ไม่ ไม่ ไม่…นางหมดประโยชน์สำหรับเขาแล้ว หากกลับไปที่นั่นกับเขาก็เท่ากับรนหาที่ตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไปกับเขาไม่ได้

นางก็ช่างเลอะเลือนเสียจริง ในลานเรือนติดกันมีแม่ชีทำอาหารสองสามคนพำนักอยู่ ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาพักเที่ยง นางสมควรฉวยโอกาสวิ่งหนีตอนเขารื้อหาของกินอยู่

“ท่านผู้กล้า!” หญิงสาวทางหนึ่งลอบก้าวถอยหลัง ทางหนึ่งเพียรรักษาน้ำเสียงของตนให้นุ่มนวลอ่อนน้อมเต็มที่ “ท่านก็รู้ทางออกไปแล้ว ข้างนอกแสงอาทิตย์กำลังแรงจัด ข้าตากแดดอยู่ที่ลานด้านหลังนานขนาดนั้นรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย คงไม่ส่งท่านออกไปละนะ…”

ส้นเท้าแตะถูกธรณีประตู

“ช่วยด้วย!” ฟู่ถิงจวินสาวเท้าจะออกวิ่ง

เพียงแต่เพิ่งตะโกนว่า ‘ช่วย’ ออกมาได้แค่คำเดียวก็รู้สึกจุกแน่นที่ลำคอเป็นคำรบที่สอง มือเขารวบคอนางหิ้วตัวลอยกลับเข้ามาแล้วลากไปตรึงกับเสากลางเรือนครัว หญิงสาวเจ็บปวดไปทั้งสรรพางค์กายคล้ายกระดูกกระเดี้ยวหลุดออกเป็นท่อนๆ

นางพยายามแกะฝ่ามือใหญ่ที่กำอยู่รอบคอออกอย่างสุดชีวิต พร้อมกับจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็งอย่างไม่ละสายตา ประหนึ่งว่ามีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะแสดงความชิงชังของตนเองออกมาได้

เขามองนางอย่างสงบนิ่ง สายตาฉายแววไม่อนาทรร้อนใจเหมือนกำลังบี้มดตัวหนึ่งตาย ราวกับว่าสำหรับเขาแล้วการเข่นฆ่าชีวิตคนตรงหน้าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเช่นเดียวกับกินข้าวดื่มน้ำ!

ฟู่ถิงจวินตัวสั่นสะท้านดั่งพลัดตกลงไปอยู่ในโพรงน้ำแข็ง นางดิ้นทุรนทุรายเฮือกสุดท้ายเสมือนปลาที่ถูกจับโยนขึ้นมาบนบก ค่อยๆ หายใจไม่ออกทีละน้อย และจมดิ่งลงสู่ความมืดมนอนธการ…

 

ฟู่ถิงจวินรู้สึกตัวตื่นเพราะความร้อน

พอนางลืมตาขึ้นก็มองเห็นคางคกสี่ห้าตัวกำลังพองตัวอวดท้องสีขาวเกลี้ยงอยู่ข้างๆ ใบหน้า นางกรีดร้องเสียงแหลมพลางพลิกตัวตาลีตาเหลือกลุกขึ้น

พวกคางคกตกใจ พากันกระโดดผลุบหายเข้าไปในพุ่มหญ้า

หญิงสาวระบายลมหายใจเฮือกยาว รู้สึกระคายเคืองในลำคอ ศีรษะหนักอึ้ง สองเท้าเบาหวิว ดวงตาพร่าลาย

นาง…นางตายแล้วมิใช่หรือ ไฉนยังมีความรู้สึก

ฟู่ถิงจวินนิ่งขึงไป จากนั้นรีบเร่งมองสำรวจไปรอบตัว

ดวงตะวันแจ่มจ้าอยู่เหนือศีรษะส่องแสงแยงตาจนลืมไม่ขึ้น กิ่งไม้ที่เหยียดออกไปนอกกำแพงแตกใบหนาทึบร่มครึ้มทอดเป็นเงาดำอยู่บนกำแพงสูงใหญ่แข็งแรง ส่วนด้านหลังพงหญ้าพงหนามรกชัฏเป็นดงไม้เขียวขจี

ที่นี่…คือลานด้านหลังของอารามปี้อวิ๋น! เหตุใดนางอยู่ที่นี่ หรือนางยังมีชีวิตอยู่?

ความคิดหนึ่งผ่านวาบเข้ามาในหัวอย่างว่องไว ฟู่ถิงจวินหยิกแขนตัวเองทีหนึ่งเต็มแรงจนทิ้งรอยแดงๆ ไว้

เจ็บเหลือเกิน

นางเดินไปอีกสองสามก้าว เงาก็ขยับตามนางไป

แม่นมเคยบอกว่าภูตผีวิญญาณไม่มีเลือดเนื้อ พอถูกแสงแดดก็จะสลายหายไป

ฟู่ถิงจวินยื่นมือออกไป

ใต้แสงอาทิตย์ มือเรียวขาวผ่องกระจ่างใส เล็บมือสีอมชมพูเปล่งประกายแวววาวดุจไข่มุก

นางหรี่ตามองเปลวแดดระยิบระยับ น้ำตารินอย่างสุดแสนปีติยินดี!

ยังมีชีวิตอยู่ นางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ

ทว่าความเบิกบานใจจากการรอดพ้นเคราะห์ภัยมาได้คงอยู่ชั่วอึดใจก็เหือดหายไปหมดสิ้นเพราะความเจ็บปวดบนลำคอ

ภาพเหตุการณ์ก่อนสิ้นสติปรากฏขึ้นในห้วงความคิด…เรือนครัวที่มืดสลัวปลอดคน ฝ่ามือหนาใหญ่แข็งแกร่ง สายตาเยือกเย็นเฉยชา และความจนตรอกสิ้นหวังก่อนจบชีวิต!

นางเช็ดน้ำตาเป็นมือระวิง ก่อนจะเงี่ยหูฟังพลางมองสำรวจไปรอบๆ อย่างระแวดระวังหวาดกลัว

ลานกว้างด้านหลังเงียบสงัดไม่มีวี่แววผู้คน พงหนามรกทึบไม่ไกลนักมีแมลงบินฉวัดเฉวียนส่งเสียงดังหึ่งๆ หมวกสานที่โยนทิ้งไว้ยังคงนอนสงบนิ่งเดียวดายอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่เสมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน ขอแค่นางยกชายกระโปรงเหน็บเอวไว้แล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ก็จะได้เห็นว่าสภาพภายนอกกำแพงเป็นอย่างไรกันแน่!

กระนั้นนางกลับใจฝ่อ ไม่เหลือความกล้าเช่นก่อนหน้านี้อีกสืบไป

คนผู้นั้นจากไปหรือยัง จะโผล่ออกมากะทันหันอีกหรือไม่

ถ้าเขาเห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ จะลงมืออีกครั้งหรือไม่

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็ขนลุกเกรียว คว้าหมวกสานขึ้นมาได้ก็วิ่งทะยานไปทางทิศตะวันออกราวกับจะหนีอะไรบางอย่าง…

 

ที่พำนักของฟู่ถิงจวินมีชื่อว่าหอจิ้งเยวี่ย ตั้งอยู่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระอุโบสถของอารามปี้อวิ๋น เป็นเรือนคั่นสอง มีหนึ่งประตูและลานเรือนเดี่ยว ปลูกต้นไผ่เงินไว้รอบสี่ทิศ ยามปกติไม่มีคนพัก จะเปิดใช้ก็ต่อเมื่อสตรีในสกุลฟู่มาไหว้พระหรืออยู่พักอาศัยชั่วคราว

นางมิได้เข้าทางประตูหน้า แต่เดินอ้อมไปตามทางแคบๆ ด้านขวา

ห้องปีกตะวันออกมีหน้าต่างบานหนึ่ง เนื่องจากฐานพื้นห้องยกสูงมาก เป็นเหตุให้ฟู่ถิงจวินเขย่งปลายเท้าแล้วยังต้องเอื้อมสุดมือจึงจะแตะถูกกรอบหน้าต่างที่กรุด้วยกระดาษเกาลี่ สีขาว

นางเคาะเบาๆ สองที หน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่ก็เปิดออกทันใด

“คุณหนูเก้า” สาวใช้นามลวี่เอ้อชะโงกหัวออกมา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความดีอกดีใจ “คุณหนูกลับมาแล้วจนได้!” นางกล่าวพร้อมกับยื่นม้านั่งตัวเล็กออกมาให้ “เมื่อครู่นี้ป้าเฉินมาที่ห้องเจ้าค่ะ นางยังเอาแตงโมที่แช่เย็นในบ่อน้ำมาหลายชิ้น บอกว่าให้คุณหนูรับประทานดับพิษร้อน” สาวใช้ช่วยดึงแขนของฟู่ถิงจวินให้นางปีนเข้ามา “ถ้าไม่ได้พี่หานเยียนพูดห้ามไว้ กลัวว่านางคงบุกเข้ามาแล้ว ทำเอาข้าตกใจแทบตายเลยเจ้าค่ะ!” นางทำท่าจะร่ำไห้ออกมาเต็มแก่ “หากคุณหนูยังไม่กลับมาอีก ข้าคงต้องออกไปตามหาท่านแล้ว!”

ฟู่ถิงจวินมึนศีรษะรู้สึกตื้อๆ ร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่ นางอาศัยสัญชาตญาณเอาตัวรอดอย่างเดียวถึงวิ่งกลับมาได้ เวลานี้พอกลับมาถึงเรือนพำนักอย่างปลอดภัย ได้ยินสุ้มเสียงคุ้นหู จิตใจที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง เนื้อตัวอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด กระทั่งจะยืนยังรู้สึกกินแรง วาจาสักคำก็คร้านจะเอื้อนเอ่ย เพียงอยากเอนตัวลงนอนบนเตียงโดยไว พอได้ยินว่าป้าเฉินมาหา นางจำต้องฝืนสติกล่าวโต้ตอบ “หานเยียนพูดอะไรบ้าง”

เสียงของนางแหบแห้งแตกพร่า ต่างจากเสียงกังวานใสรื่นหูตามปกติไปไกลคนละโยชน์

“คุณหนูเก้า!” ลวี่เอ้อมองฟู่ถิงจวินอย่างตกอกตกใจ นางเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้ว่ารอบลำคอผู้เป็นนายมีรอยช้ำแดงตัดกับผิวกายขาวผ่องดูน่ากลัวอย่างยิ่ง “นะ…นี่คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ” ครั้นเพ่งสายตามองอีกคราก็เห็นฟู่ถิงจวินถูกแดดเผาจนผิวแดงก่ำ ส่วนผมเผ้าที่หวีจนเรียบตึงยามออกไปก็หลุดรุ่ยร่ายไม่เป็นทรง ยังมีเส้นผมสองสามปอยเปียกเหงื่อจนแนบติดข้างแก้ม ขณะที่แขนเสื้อสกปรกยับยู่ยี่ กระโปรงผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินเข้มยังฉีกขาดเป็นรูใหญ่ เผยให้เห็นกางเกงผ้าไหมสีฟ้านวลด้านใน

ไหนเลยฟู่ถิงจวินจะไม่รู้ว่าตนเองมีสารรูปมอมแมม แต่ขณะนี้มิใช่เวลาพูดคุยกัน นางจึงไม่นำพาเนื้อตัวที่สกปรกเลอะเทอะ ล้มตัวลงนอนบนเตียงไปเลย “อีกประเดี๋ยวค่อยว่ากัน!”

ลวี่เอ้อตั้งสติได้ ก้าวเข้าไปถอดรองเท้าให้นางไปพลางกล่าวตอบคำถามก่อนหน้านี้ไปพลาง “พี่หานเยียนนั่งรับลมคุยเล่นสัพเพเหระกับพวกป้าฝานอยู่ในโถงกลางตามที่คุณหนูกำชับไว้เจ้าค่ะ พวกนางบอกว่าอากาศร้อนเหลือเกิน เลยนั่งอยู่ในนั้นไม่ขยับตัวไปไหนตลอด แล้วก็ไม่มีใครเรียกใช้ข้า ตอนที่ป้าเฉินมา ป้าฝานคนนั้นยังช่วยพูดให้พวกข้าตั้งหลายคำด้วยนะเจ้าคะ”

“อื้อ” ฟู่ถิงจวินส่งเสียงตอบเบาๆ แล้วกำชับลวี่เอ้อ “ไปตักน้ำเข้ามา ข้าอยากล้างหน้าสางผมสักหน่อย!”

จะปล่อยให้ผู้อื่นเห็นนางในสภาพตอนนี้มิได้!

ลวี่เอ้อเอ่ยอย่างละล้าละลัง “ข้ากลัวว่าไปตักน้ำจะทำให้ป้าเฉินเอะใจ…”

“ก็ข้ากลับมาแล้ว” ฟู่ถิงจวินชักจะขุ่นใจ นางทนเจ็บคอเค้นเสียงพูดออกมา “เจ้าคลี่ม่านลงมาปิด ขอแค่อย่าให้พวกนางเห็นสภาพข้าก็เป็นอันสิ้นเรื่อง! นางจะกล้าเปิดม่านของข้าเชียวรึ”

ลวี่เอ้อนิ่งคิด

จริงสิ! ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูเก้าก็เป็นเจ้านาย ต่อให้พวกนางเป็นคนข้างกายของนายหญิงใหญ่ก็มิอาจไม่คำนึงถึงฐานะสูงต่ำได้

“อื้อ” นางขานตอบในลำคอ จากนั้นคลี่ม่านลงอย่างคล่องแคล่วแล้วเดินออกจากห้องไป

ภายในห้องเงียบสงบ ไม่มีแสงแดดจัดจ้าดุจเปลวไฟ ไม่มีไอร้อนเต้นระริก หมอนกระเบื้องหนุนศีรษะแผ่ไอเย็นๆ ออกมา เสื่อนอนใต้ร่างยังเจือกลิ่นหอมของไผ่เขียวไว้ ฟู่ถิงจวินพรูลมหายใจออกมายาวๆ สบายตัวเสียจนไม่อยากขยับแม้แต่นิ้วมือ

ทว่าอาการบาดเจ็บตรงลำคอยังไม่ยอมละเว้นนาง ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าซูบผอม นัยน์ตาคมกริบ และแววตาเย็นชาของเขาปรากฏขึ้นในห้วงความคิดอย่างไม่ทันตั้งตัว คลับคล้ายมีลมเย็นยะเยือกโชยเข้ามาในห้องระลอกหนึ่ง

กำแพงของอารามปี้อวิ๋นสูงใหญ่แข็งแรง แต่เหมือนเขาเดินผ่านเข้าออกได้ตามใจชอบ ยามกลางวันแสกๆ ก็ปีนกำแพงเข้ามาข้างในและเกือบบีบคอนางตาย เห็นชัดว่าที่นี่หาได้ปลอดภัยอย่างที่นางนึกไว้แต่เดิมไม่!

พอความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว ฟู่ถิงจวินสะท้านเยือกวูบหนึ่งอย่างกระวนกระวายใจ

มีเสียงฝีเท้าสับสนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าประตู

“ขอบคุณท่านป้าทั้งสองเจ้าค่ะ!” เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของหานเยียนดังลอดเข้ามา “วางอ่างน้ำตรงนี้ก็ได้เจ้าค่ะ…หลายวันมานี้คุณหนูของพวกข้านอนหลับไม่สนิท เลยอารมณ์หงุดหงิดอยู่บ้าง…”

“รู้แล้วๆ!” แม้เสียงพูดกระโชกโฮกฮากของป้าฝานจะกดต่ำแล้ว มันยังคงดังก้องอยู่ดี นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ “หลายวันมานี้คุณหนูเก้าต้องกล้ำกลืนฝืนทน ก็เลยอารมณ์เสียพาลใส่พวกเจ้าเป็นธรรมดา เจ้าอดทนหน่อยก็แล้วกัน บ่าวไพร่อย่างพวกเราเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร” นางพูดตบท้าย “เช่นนั้นพวกข้ากลับก่อนล่ะ จะได้ไปรายงานป้าเฉิน นางกำชับไว้ว่าพอคุณหนูเก้าตื่นก็ให้ไปบอกนางสักคำ”

หานเยียนกล่าวลาป้าฝานอย่างมีมารยาท “ค่อยๆ เดินนะเจ้าคะป้าฝาน!”

ฟู่ถิงจวินกลับประหลาดใจ ป้าฝานกับหานเยียนถูกคอกันดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

สาวใช้สองนางแบกถังน้ำเข้ามาแล้วหอบหายใจแฮกๆ

หานเยียนวิ่งมาที่หน้าเตียงทันที

“คุณหนูเก้า! ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” นางแหวกม่านออกด้วยความยินดีเต็มเปี่ยม แต่แล้วก็ต้องตะลึงลานอยู่กับที่ดุจเดียวกับลวี่เอ้อ

“ให้ข้าชำระกายสะอาดสะอ้านก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ฟู่ถิงจวินยันตัวลุกขึ้นอย่างงุ่มง่าม

หานเยียนรู้เช่นกันว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คืออย่าให้คนจับได้ว่าฟู่ถิงจวินออกไปข้างนอกมา

นางประคองฟู่ถิงจวินไว้อย่างลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย สองสาวใช้ช่วยกันเปลื้องชุดและสยายผมให้ผู้เป็นนาย จากนั้นพยุงนางลงนั่งในอ่างไม้สนแล้วสระผมให้

ฟู่ถิงจวินหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย ทว่าภายในใจกลับว้าวุ่นปั่นป่วนไม่หยุดดั่งน้ำเดือดพล่านก็ไม่ปาน

เจ้าคนถ่อยไร้ยางอายจั่วจวิ้นเจี๋ย หากมิใช่เขาพูดจาเหลวไหล นางจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร!

พอหวนคิดขึ้นมา นางก็กัดฟันกรอดๆ อยากสาปแช่งเขาสักสองสามคำระบายความโกรธแทบใจจะขาด

 

เรื่องนี้ต้องเริ่มเท้าความจากพี่สะใภ้ใหญ่จั่วซื่อ

พี่สะใภ้ใหญ่นั้นถือป้ายวิญญาณของพี่ชายใหญ่ของนางแต่งเข้ามาในสกุลฟู่ ยี่สิบปีที่ผ่านมา นางกตัญญูต่อแม่สามี กลมเกลียวปรองดองกับคู่สะใภ้ รักใคร่น้องสามี อบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน เป็นกุลสตรีศรีภรรยาที่ใครๆ ยกย่องสรรเสริญ อย่าว่าแต่ชาวสกุลฟู่เลย ต่อให้เป็นชาวหวาอินเอง น้ำเสียงวาจายามเอ่ยถึงสะใภ้ใหญ่ผู้นี้ล้วนแสดงความเคารพนับถือ ไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย ฉะนั้นตอนที่จั่วจวิ้นเจี๋ยน้องชายคนเล็กของนางบากหน้ามาขอพึ่งพิงเพราะบิดามารดาล่วงลับไปแล้ว ถึงแม้ในจวนจะมีคนของสกุลฟู่หกครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยกันจนเต็มขนัด ลุงใหญ่ก็ยังจัดเรือนพำนักขนาดสามคูหาซึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ไว้บริเวณมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเรือนด้านนอกให้เป็นที่พำนักของเขา และให้เงินใช้สอยส่วนตัวทุกเดือน รวมถึงค่าหมึกพู่กัน และเสื้อผ้าอาภรณ์สี่ฤดูตามส่วนของผู้เป็นทายาทของพี่สะใภ้ใหญ่ อีกทั้งยังให้เขาร่ำเรียนหนังสือกับท่านปู่ห้าในสำนักศึกษาประจำตระกูลฟู่

จั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นก็เป็นเลิศสมดังนามของเขา อายุสิบเจ็ดได้เป็นซิ่วไฉ อายุยี่สิบสามได้เป็นจวี่เหริน

หากเป็นในเขตเจียงหนานที่มีบัณฑิตชั้นยอดมากมายดาษดื่น ผลสำเร็จชั้นนี้ไม่นับว่าน่าทึ่งเท่าไหร่ แต่ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือที่มีการสอบขุนนางแบบแยกเขตเหนือใต้ กลับหาได้ยากเย็นยิ่งดุจขนหงส์เขากิเลน ส่งผลให้เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คน

เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ในสายตาคนภายนอก สกุลฟู่ได้รับชื่อเสียงด้านทรงคุณธรรมและอุปถัมภ์ผู้มีความสามารถจากการส่งเสริมบ่มเพาะคนเก่งกาจสามารถอย่างจั่วจวิ้นเจี๋ยออกมา ก็สมควรถือเขาเป็นความภาคภูมิใจ ขณะที่จั่วจวิ้นเจี๋ยได้สกุลฟู่สนับสนุนค้ำจุนจนมีอนาคตรุ่งโรจน์ ฟื้นฟูเกียรติยศให้แก่สกุลจั่วได้ ก็สมควรซาบซึ้งในพระคุณของสกุลฟู่จึงจะถูก แต่ในความเป็นจริงกลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

สกุลฟู่เป็นวงศ์ตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดของหวาอิน หญิงในเรือนงามสมกุลสตรีจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง ฉะนั้นนับแต่จั่วจวิ้นเจี๋ยมาพึ่งใบบุญก็อยากจะแต่งบุตรสาวสกุลฟู่เป็นภรรยา

ได้เป็นญาติกันอีกชั้นหนึ่ง ซ้ำมีตระกูลภรรยาช่วยเกื้อหนุน พี่สะใภ้ใหญ่ย่อมเต็มใจแน่นอน ทว่าแต่ไรมาบุตรสาวสกุลฟู่ไม่เคยต้องหนักใจเรื่องออกเรือน แม้จั่วจวิ้นเจี๋ยจะสูงใหญ่หล่อเหลา แต่เขาเป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง ไม่มีสมบัติพัสถานใดติดตัว แล้วยังอาศัยสกุลฟู่คอยเจือจานเงินทองให้ จะอย่างไรนางก็เอ่ยเรื่องการผูกดองออกจากปากไม่ได้

ถึงกระนั้นพอความคิดนี้บังเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้อีก ในใจนางอดมิได้ที่จะตั้งความหวังไว้บ้าง จึงมิได้ทาบทามสตรีใดให้จั่วจวิ้นเจี๋ยมาโดยตลอด

จวบจนเขาได้เป็นซิ่วไฉ พี่สะใภ้ใหญ่ถึงแย้มพรายออกมาเป็นเชิงทีเล่นทีจริงในงานฉลองครบรอบวันเกิดของท่านย่า

ท่านย่าเป็นคนชั้นใดเล่า ท่านปกครองเรือนหลังของสกุลฟู่มาหลายสิบปี มีหรือจะจับความนัยในถ้อยคำของหลานสะใภ้คนโตผู้นี้ไม่ออก

เพียงแต่ฐานะของจั่วจวิ้นเจี๋ยยากจนต่ำต้อยเหลือเกินจริงๆ

ถ้าเป็นคนอื่นคงสามารถกล่าววาจาสองสามคำตามมารยาทเป็นการรับหน้าพอให้พ้นๆ ไปก็เป็นอันจบเรื่อง แต่ผู้เอ่ยปากคือพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านย่าต้องตรึกตรองว่าจะรักษาหน้านางเช่นไรดี จึงเรียกป้าสะใภ้ใหญ่มาหารือ เพราะท่านมีความคิดจะยกพี่หญิงรอง บุตรสาวของลุงใหญ่ที่เกิดกับอนุให้แต่งงานกับจั่วจวิ้นเจี๋ย

พี่รองกับจั่วจวิ้นเจี๋ยมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มาตรว่าจะเป็นบุตรสาวที่เกิดกับอนุ แต่ได้ภรรยาหลวงเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งอ่านออกเขียนได้ มีฝีมือเย็บปักถักร้อย และสามารถดูแลเหย้าเรือนทำบัญชีได้เฉกเดียวกับพี่หญิงใหญ่

ป้าสะใภ้ใหญ่สองจิตสองใจ

ต่อมามีคนส่งข่าวถึงป้าสะใภ้ใหญ่ว่าภรรยาคู่ยากของห่าวเจี้ยนเฟิงผู้ช่วยผู้ว่าการมณฑลส่านซีล้มป่วยจากไป ทั้งสองไม่มีทั้งบุตรชายบุตรสาว อีกทั้งเขากำลังจะไปรั้งตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลซานตงในอีกไม่ช้า คนผู้นี้หมายประจบสอพลอจึงคิดเป็นแม่สื่อแม่ชักให้พี่รองได้ตบแต่งกับเขา

แม้ว่าจะออกเรือนไปเป็นภรรยาของพ่อม่ายที่มีอายุมากกว่ายี่สิบปี แต่ห่าวเจี้ยนเฟิงเป็นจิ้นซื่อที่ผ่านการสอบเคอจวี่แล้วสองระดับ สั่งสมผลงานความชอบจนใกล้จะได้เป็นขุนนางขั้นสามอยู่รอมร่อ ทว่ากลับไม่มีทายาทสืบสกุล สำหรับสกุลฟู่ที่ไม่มีลูกหลานเป็นขุนนางใหญ่โตมาหลายชั่วรุ่น ไม่ว่าอย่างไรการได้ลูกเขยอย่างนี้ก็เป็นเรื่องดี

ป้าสะใภ้ใหญ่อยากตอบตกลงมาก แต่ตอนนั้นลุงใหญ่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกองชลประทานอยู่ในกรมโยธา ควบคุมดูแลงานด้านแม่น้ำลำธาร ห้วยหนองคลองบึง ถนนสะพาน รถเรือ การทอผ้า ตราสารต่างๆ รวมถึงเครื่องชั่งตวงวัด ได้รับความชื่นชมจากชวีหยางเสนาบดีกรมโยธาเป็นอันมาก ว่ากันว่าอีกไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมโยธา ป้าสะใภ้ใหญ่เป็นห่วงเรื่องชื่อเสียงถึงมิได้ให้คำตอบที่แน่ชัดกับอีกฝ่ายมาโดยตลอด

 

 

ท่านย่ารู้เรื่องนี้เช่นกัน จึงกล่าวเตือนป้าสะใภ้ใหญ่ “อย่าได้ปรามาสคนหนุ่มเชียว! จั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นมีสง่าราศี เรื่องศึกษาเล่าเรียนก็นับว่ามีความขยันหมั่นเพียรดี ไม่แน่ว่าวันหน้าจะได้เป็นบัณฑิตเอก ยิ่งกว่านั้นคนเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย* มีมาก คนส่งถ่านกลางหิมะ** มีน้อย สกุลฟู่มีบุตรสาวอีกเจ็ดแปดคนที่ยังมิได้หารือเรื่องการแต่งงานอยู่อีกนะ!”

รวมความแล้วก็คือหวั่นเกรงว่าการแต่งงานนี้จะกระทบต่อชื่อเสียงของสกุลฟู่ และทำลายอนาคตของลุงใหญ่

ระมัดระวังไว้สักหน่อยก็ไม่ผิดอะไร

ป้าสะใภ้ใหญ่เห็นว่าแม่สามีกล่าวมีเหตุผล จึงปฏิเสธสกุลห่าวไป

พอพี่สะใภ้ใหญ่รู้ข่าว ย่อมยินดีจนออกนอกหน้าแน่นอน

ด้านจั่วจวิ้นเจี๋ยกลับไม่ยินยอม “เดิมข้าก็มีอยู่ตัวคนเดียว ทรัพย์สินในบ้านล้วนนำไปขายเป็นเงินมารักษาอาการป่วยของท่านพ่อท่านแม่ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางเป็นบุตรสาวของอนุ นอกจากสินเดิมเจ้าสาวหนึ่งร้อยตำลึงเงินจากกองกลางแล้วก็ไม่มีสมบัติส่วนตัวอื่นใดอีก…ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าให้ความกรุณาแล้ว มิสู้สู่ขอคุณหนูสามของนายท่านรองจะดีกว่านะขอรับ!”

สกุลเดิมของป้าสะใภ้รองเป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดินในซื่อชวน ทั้งยังมีการค้าบ่อเกลือ ตอนนางออกเรือนมาที่สกุลฟู่ แค่ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอย่างเดียวก็บรรทุกมาเต็มสามลำเรือ พี่หญิงสามเกิดจากภรรยาหลวง และเป็นบุตรสาวโทนของลุงรอง ดังนั้นป้าสะใภ้รองลั่นคำออกมาเนิ่นนานแล้วว่าภายภาคหน้าจะมอบสมบัติส่วนตัวของนางทั้งหมดให้พี่สามเป็นสินเดิมเจ้าสาว

“เรื่องนี้ไม่ได้!” พี่สะใภ้ใหญ่ได้ยินแล้วทำสีหน้าขรึมลง กล่าวปฏิเสธจั่วจวิ้นเจี๋ยโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ “สกุลฟู่ตอนนี้มีแค่ท่านพ่อกับท่านอาห้าที่เป็นขุนนาง ส่วนบุตรชายสองคนของท่านอารองล้วนไม่มีพรสวรรค์อะไรที่จะไปสอบรับราชการ สาเหตุที่ท่านอาสะใภ้รองลั่นคำออกมาว่าจะเก็บสมบัติส่วนตัวทั้งหมดให้คุณหนูสาม ก็เพราะอยากจะหาจิ้นซื่อสักคนเป็นลูกเขย หรืออย่างแย่ที่สุดก็ต้องเป็นจวี่เหริน เพื่อว่าวันหน้าจะได้มีคนดูแลและพึ่งพาได้ เจ้าเป็นแค่ซิ่วไฉ ท่านอาสะใภ้รองไม่ตอบตกลงเด็ดขาด”

“พวกท่านปักใจแล้วหรือว่าวันหน้าข้าจะไม่ได้เป็นจิ้นซื่อ” จั่วจวิ้นเจี๋ยกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “พี่ไม่ลองดูก่อนแล้วรู้ได้อย่างไรว่านายหญิงรองจะไม่ตอบตกลง”

พี่สะใภ้ใหญ่รู้สึกว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยไม่ใคร่จะรู้ความเอาเสียเลย “ต่อให้ท่านอาสะใภ้รองตอบตกลง แต่ท่านแม่บอกปัดทางสกุลห่าวไปแล้ว เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก เจ้าไม่ต้องพูดให้มากความ แค่รอข้าเชิญแม่สื่อมาเทียบดวงแปดอักษรกับคุณหนูรองแล้วก็แต่งงาน” กล่าวจบก็หมุนกายเดินออกไป

ฝ่ายจั่วจวิ้นเจี๋ยรู้สึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่มิได้ตั้งใจทำเพื่อตนจริงๆ เพราะกลัวจะล่วงเกินแม่สามี วันถัดมาเขาก็เชิญแม่สื่อไปทาบทามกับป้าสะใภ้รองโดยไม่บอกกล่าวพี่สะใภ้ใหญ่สักคำ

ป้าสะใภ้รองจะตอบตกลงได้อย่างไรกัน

แม่สื่อเดินคล้อยหลังออกไปไม่ทันไร นางก็เอาเรื่องนี้ไปรายงานท่านย่าทันที

ท่านย่าโมโหจนตัวสั่นไม่หยุด จากนั้นก็ไม่พูดไม่จากับพี่สะใภ้ใหญ่ดีๆ สักคำเป็นเวลานาน

พี่สะใภ้ใหญ่อับอายเหลือทน อยากจะมุดหัวแทรกแผ่นดินหนีใจจะขาด นางไปถึงเรือนของจั่วจวิ้นเจี๋ยด้วยสีหน้าถมึงทึงแล้วอบรมสั่งสอนเขายกใหญ่ ทว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยกลับไม่เห็นพ้องกับนาง “เอาล่ะๆ ในเมื่อพี่ลำบากใจนัก ข้าจะเชื่อฟังพี่แต่งงานกับคุณหนูรองให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป!”

น้ำเสียงของเขาราวกับฝืนใจลดเกียรติตนเองเต็มประดา ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่เอื้อนเอ่ยวาจาใดไม่ออกสักคำ นางฟุบหน้าร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงหัวเตียงของแม่สามี

ป้าสะใภ้ใหญ่ทั้งร้อนใจทั้งขุ่นเคือง ไม่ลุกลงจากเตียงนานสองวันด้วยเรื่องนี้ คนหนึ่งเป็นลูกสะใภ้ที่ครองตัวบริสุทธิ์ให้กับบุตรชายตน คนหนึ่งเป็นบุตรสาวของอนุที่นางเลี้ยงดูมา จะมีน้ำโหสักปานใดก็ได้แต่เป็นเช่นคำกล่าวว่าไฟในอย่านำออก หลายเดือนต่อมานางก็ยกพี่รองให้กับนักศึกษาแซ่หวงในผูเฉิงซึ่งเป็นอำเภอติดกัน ไม่ถึงสองปีพี่เขยรองก็ป่วยตาย ทิ้งบุตรสาวที่เพิ่งครบเดือนไว้คนหนึ่ง ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน ต้องอาศัยสกุลฟู่คอยจุนเจือถึงมีข้าวสารกรอกหม้อ

ข้างฝ่ายห่าวเจี้ยนเฟิงกลับมั่งคั่งมีเกียรติมาตลอด เพียงไม่กี่ปีก็ได้เป็นถึงรองเสนาบดีกรมปกครอง

ต่อมาทำนบกั้นแม่น้ำหวงเหอในอำเภอเสียงฝู เมืองไคเฟิง มณฑลเหอหนานแตกพัง ผู้ตรวจการมณฑลเหอหนานร้องเรียนและเปิดโปงการทุจริตในการก่อสร้างที่ใช้หินชั้นเลวแทนหินชั้นดี ชวีหยางกับลุงใหญ่ล้วนถูกดึงติดร่างแหไปด้วย ซ้ำร้ายลุงใหญ่ยังโดนปลดจากตำแหน่งเพราะเหตุนี้ ครั้นคลื่นลมสงบลง ลุงใหญ่เคยไปหาห่าวเจี้ยนเฟิงด้วยเรื่องขอกลับเข้ารับราชการใหม่ จะเป็นเพราะเขากลัวว่าจะต้องพัวพันกับปัญหายุ่งยากเหล่านี้ หรือว่ายังติดใจที่สกุลฟู่ปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนั้นก็สุดรู้ เขาถึงกับไม่ยอมพบหน้าลุงใหญ่สักครั้ง ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าจะช่วยเหลือ

ป้าสะใภ้ใหญ่คิดขึ้นมาแล้วยากจะคลายความขัดเคืองลงได้ ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์ไปไม่น้อย

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวต่อมาในภายหลัง

ส่วนเหตุการณ์ในตอนนั้นคือพี่สะใภ้ใหญ่ให้คนเช่าเรือนหลังหนึ่งในถนนสายเล็กๆ แล้วให้น้องชายย้ายออกไปในราตรีนั้นเลย

จั่วจวิ้นเจี๋ยทำสีหน้าบึ้งตึง เขาแค่นหัวเราะหลายเสียง ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่นำอะไรติดตัวไปอย่างหยิ่งผยอง

หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็ไปเป็นอาจารย์ของครอบครัวแซ่หลิวในเมืองซีอาน

ปีถัดมาเขาสอบรับราชการระดับมณฑลไม่ผ่าน

ปลายปีนั้น จั่วจวิ้นเจี๋ยกลับมาที่หวาอิน เขาไม่นำพาหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก คุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนพี่สะใภ้ใหญ่เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ไม่ว่าใครมาฉุดก็ไม่ลุกขึ้น

เพื่อเห็นแก่มิตรไมตรี ทั้งป้าสะใภ้รอง ป้าสะใภ้สาม ป้าสะใภ้สี่ ท่านแม่ และอาสะใภ้หกพากันไปพบป้าสะใภ้ใหญ่ช่วยพูดให้จั่วจวิ้นเจี๋ย

พี่สะใภ้ใหญ่เห็นใบหน้าซูบผอมซีดเซียวฉายแววท้อแท้ของน้องชายสายเลือดเดียวกัน กอปรกับคิดถึงว่าสกุลเดิมตนเหลือเขาเป็นทายาทคนเดียวก็ร่ำไห้ฟูมฟายน้ำตานอง

ป้าสะใภ้ใหญ่ถอนใจเฮือกๆ ไม่หยุด จากนั้นเป็นคนไปขอร้องท่านย่าให้รับเขากลับมาร่ำเรียนในสำนักศึกษาประจำตระกูลฟู่อีกครั้ง

นับจากนั้นจั่วจวิ้นเจี๋ยคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น สองหูไม่ฟังเรื่องนอกหน้าต่าง ตั้งอกตั้งใจศึกษาหนังสือตำราของยอดปราชญ์ หลังจากเขาสอบผ่านเป็นจวี่เหรินก็ซื้อที่นากับบ่าวไพร่และตั้งเรือนอยู่ในตรอกกว่างเทา กลายเป็นว่าที่ลูกเขยเนื้อหอมในสายตาชาวหวาอิน

ป้าสะใภ้สี่ก็เริ่มหมายตาเขา

“ตอนนั้นที่พูดเรื่องแต่งงานไม่สำเร็จเป็นเพราะว่าคุณหนูรองเป็นบุตรสาวของอนุ ทั้งไม่มีสินเดิมเจ้าสาว คนเย่อหยิ่งถือตัวและมีความสามารถอย่างเขาย่อมไม่พึงใจเป็นธรรมดา” นางเอ่ยกับลุงสี่ “ลูกห้าของเราไม่เหมือนกัน ไม่เพียงเป็นบุตรสาวของภรรยาหลวง รูปโฉมก็สะสวย นอกจากสินเดิมเจ้าสาวจากกองกลาง ข้ายังมีที่นาอุดมสมบูรณ์สามร้อยหมู่* กับเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้อีกสองพันตำลึงเงินมอบให้ลูกสาวเราด้วยนะ”

“ทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!” ลุงสี่สั่นศีรษะ “หากคนอื่นรู้เข้าจะนึกว่าบุตรสาวสกุลฟู่เราตามตื๊อเขาเอาได้นะ!”

“โธ่เอ๋ย ไฉนท่านเถรตรงนักนะ!” ป้าสะใภ้สี่กล่าวเสียงขุ่น “ท่านลองคิดดู แม้ท่านลุงใหญ่จะถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็มียศถาบรรดาศักดิ์ติดตัว ตอนพบปะกับท่านนายอำเภอก็ยังมีที่นั่งให้ ยิ่งต้องไม่เอ่ยถึงท่านอาห้า ตอนนี้เขาเป็นอาจารย์ในสำนักราชบัณฑิต ซ้ำยังสอนคัมภีร์ของปราชญ์เมธีให้เหล่าองค์ชาย ไม่แน่ว่าวันใดอาจกลายเป็นถึงพระอาจารย์ มีอนาคตก้าวไกลเหลือประมาณ ส่วนคุณหนูสามของท่านลุงรองออกเรือนไปกับจวี่เหริน ปีนี้คุณชายเจ็ดของท่านลุงสามก็ได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ยังมีพี่ชายของสะใภ้หกก็เป็นจิ้นซื่อ…มีแต่เรือนเราที่ไม่มียศศักดิ์อะไรสักอย่าง หรือว่ายามอยู่ต่อหน้าพี่น้อง ท่านอยากโงหัวไม่ขึ้นตลอดชาติ ต่อให้ท่านไม่ใส่ใจ แต่วันข้างหน้าพวกลูกๆ จะอยู่กันอย่างไร”

ลุงสี่ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้าตกลง

ป้าสะใภ้สี่ขอร้องให้ท่านแม่เป็นแม่สื่อให้

ท่านแม่รู้สึกว่าทั้งสองมิใช่คู่ที่สมน้ำสมเนื้ออะไรกัน จึงบอกปฏิเสธอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แล้วพูดกับนางลับหลังว่า “จั่วจวิ้นเจี๋ยเป็นแค่จวี่เหริน ทว่าทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา แม้แต่พวกเจ้าหนี้หน้าเลือดอย่างหวังเสี่ยวซยาเอาไร่นาสาโทมาฝากเป็นชื่อเขา เขายังกล้ารับ เกรงแต่ว่าจะก่อเรื่องก่อราวขึ้นอีกน่ะสิ”

ป้าสะใภ้สี่ก็เลยไปเชิญอาสะใภ้หกออกหน้าเป็นคนกลาง

อาสะใภ้หกกล่าวเตือนนาง “ได้ยินว่าสกุลหันที่อยู่ทางเหนือของเมืองอยากจะยกบุตรสาวให้ตบแต่งกับจั่วจวิ้นเจี๋ย…”

สกุลหันค้าขายเครื่องใช้ไม้ไผ่

ป้าสะใภ้สี่ได้ยินแล้วเบะปาก “เรื่องจับคู่พรรค์นี้ จะอย่างไรก็ต้องเทียบคุณสมบัติของสองฝ่ายดูถึงจะรู้ว่าเหมาะสมกันหรือไม่!”

อาสะใภ้หกหมดปัญญา จำต้องไปพูดกับพี่สะใภ้ใหญ่

คราวนี้พี่สะใภ้ใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจอีก นางส่งหญิงรับใช้วัยกลางคนข้างตัวไปที่ตรอกกว่างเทา ถือเป็นการทำตามความประสงค์ของป้าสะใภ้สี่

หญิงรับใช้กลับมารายงาน “นายน้อยพูดว่าสกุลหันเสนอเงินห้าพันตำลึงเป็นสินเดิมเจ้าสาวเจ้าค่ะ”

พี่สะใภ้ใหญ่โกรธจนเนื้อเต้น นางส่งคำตอบกลับไปให้ป้าสะใภ้สี่ว่า “เขาหารือการแต่งงานกับสกุลหันไปแล้ว!”

ใครกันที่ขอยอมแต่งบุตรสาวพ่อค้าเป็นภรรยาดีกว่าผูกดองกับสกุลฟู่?

ครั้นป้าสะใภ้สี่เห็นว่าพึ่งพาอาศัยพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ก็แอบส่งคนไปสืบข่าวเอง เมื่อรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องสินเดิมเจ้าสาว จึงฝากคนนำความไปบอกจั่วจวิ้นเจี๋ยโดยตรงว่า “สินเดิมเจ้าสาวของคุณหนูห้า นอกจากเงินห้าพันตำลึงเงินแล้วยังมีที่นาผืนงามอีกสามร้อยหมู่”

สกุลหันหมายมั่นปั้นมืออยากจะมีลูกเขยเป็นจวี่เหรินสักคนไว้หนุนหลังครอบครัวตน เพื่อว่าวันหน้าจะได้พึ่งบารมีเขาในเรื่องทำการค้าตลอดจนการเกณฑ์แรงงานและเก็บภาษีอากรของทางการ เมื่อคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ให้แม่สื่อบอกกับจั่วจวิ้นเจี๋ยว่า “นอกจากสินเดิมเจ้าสาวห้าพันตำลึงเงิน ยังมีร้านค้าอีกหนึ่งร้าน ปีหนึ่งๆ ได้เงินกำไรถึงห้าร้อยตำลึง”

ป้าสะใภ้สี่เอ่ย “ร้านค้าที่กำไรปีละห้าร้อยตำลึงกับได้เป็นลูกเขยสกุลฟู่ อันใดสำคัญกว่ากัน?”

เรื่องนี้รู้ไปถึงท่านย่า

ท่านย่าตบหน้าป้าสะใภ้สี่ฉาดหนึ่งต่อหน้าคนรับใช้ในห้อง จากนั้นก็ตัดสินใจยกพี่หญิงห้าของนางให้บุตรชายของบัณฑิตจวี่เหรินแซ่เหยาในอำเภอถงหลิน

หลังจากจั่วจวิ้นเจี๋ยรู้เรื่องก็ไม่เหยียบย่างมาที่สกุลฟู่อีก มีครั้งหนึ่งเขาพูดกับคนอื่นด้วยความเมามาย “ยายเฒ่าผู้นั้นทำข้าเสียเรื่องหนแล้วหนเล่า สักวันข้าจะทำให้นางต้องเสียใจภายหลัง”

คำพูดนี้แพร่ไปถึงหูคนสกุลฟู่ได้เช่นไรก็สุดรู้ ทว่าไม่มีใครสักคนกล้าแพร่งพรายต่อหน้าท่านย่าสักคำ เพียงแต่เวลาออกไปข้างนอกล้วนพากันหลบเลี่ยงไม่ผ่านไปทางตรอกกว่างเทา

พี่สะใภ้ใหญ่อยู่ในสกุลฟู่ยิ่งต้องเจียมเนื้อเจียมตนมากขึ้น

จั่วจวิ้นเจี๋ยรู้เข้าก็ลั่นวาจาว่า “ไม่ใช่คุณหนูตระกูลขุนนางไม่แต่ง!” ด้วยเหตุนี้เรื่องแต่งงานกับบุตรสาวสกุลหันก็เป็นอันล้มเลิกไป

กระนั้นหวาอินเป็นอำเภอหนึ่งเท่านั้น แล้วจะมีตระกูลขุนนางสักกี่เรือนกันเล่า ที่พึงใจในตัวเขาก็มีสินเดิมเจ้าสาวไม่มากพอ ทำให้เขารู้สึกเสียหน้า ส่วนที่เขาถูกใจ พอรู้ว่าเขาบาดหมางกับสกุลฟู่ก็เห็นว่าเขาแล้งน้ำใจไร้คุณธรรม ขณะที่ในเมืองหฺวาโจวกับซีอานมีตระกูลขุนนางมากกว่า แต่ก็มีสายตากว้างไกลยิ่งกว่า สุดท้ายไปๆ มาๆ เรื่องการแต่งงานของจั่วจวิ้นเจี๋ยจึงค้างคามาโดยตลอด

จวบจนสองเดือนก่อน จู่ๆ เขามาพบท่านแม่ของนาง กล่าวอย่างอ่อนน้อมว่ามีเรื่องหารือ

อันว่าไม่ยื่นมือตีผู้แย้มยิ้มให้* ท่านแม่สั่งให้คนรับใช้ข้างกายออกไป

“นายหญิงห้าขอรับ” เขาประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม สีหน้าท่าทางดูขึงขังจริงจัง “ข้ากับคุณหนูเก้ารักใคร่ชอบพอกัน อยากครองคู่กันไปชั่วชีวิต นายหญิงห้าได้โปรดส่งเสริมพวกเราด้วย”

ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ท่านแม่ตะลึงลานไปทันใด ไม่อาจดึงสติคืนมาได้อยู่นาน ครั้นตั้งสติได้ ท่านแม่เพียงรู้สึกว่าน่าขัน “ลูกเก้าของข้าหมั้นหมายกับคุณชายใหญ่ของสกุลอวี๋ที่ตรอกเฟิงเล่อเมืองหนานจิงตั้งแต่เด็กแล้ว คุณชายจั่วเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”

เมื่อครั้งนางอายุสิบขวบ เคยตามท่านย่าไปเยี่ยมเยียนท่านป้าซึ่งออกเรือนไปที่หนานจิง และได้พบกับซู่ซื่อฮูหยินรองของสกุลอวี๋ตอนไปไหว้พระที่วัดกงเต๋อ

คนของสกุลอวี๋เคยรั้งตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงกันมาแต่รุ่นทวดรุ่นเทียด จนมาถึงรุ่นปู่ซึ่งเป็นอาจารย์ในสำนักราชบัณฑิตยังเคยดูแลการจัดสอบขุนนางระดับมณฑลมาแล้วสองครั้ง บัดนี้เป็นรุ่นของอวี๋กั๋วเฉิน อวี๋กั๋วเหลียง และอวี๋กั๋วไฉ สามพี่น้องก็ได้เป็นบัณฑิตเอกติดๆ กัน และได้รับตำแหน่งเป็นบัณฑิตหลวงของสำนักราชบัณฑิต ต่อมาอวี๋กั๋วเหลียงนายท่านรองของสกุลอวี๋สั่งสมความชอบจนได้เลื่อนขั้นเป็นข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายของสำนักตรวจการนครหลวง มีหน้าที่ตรวจสอบและร้องเรียนการทำงานของเหล่าขุนนางข้าราชสำนัก ข้างฝ่ายนายท่านใหญ่อวี๋กั๋วเฉินกับนายท่านสามอวี๋กั๋วไฉต้องการหลีกเลี่ยงข้อครหา คนหนึ่งเดินทางไปรับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเมืองจิงโจวในมณฑลหูกว่าง อีกคนหนึ่งไม่อยากไปจากเจียงหนาน เลยลาออกจากราชการกลับไปเป็นคหบดีในบ้านเดิม สกุลอวี๋จึงนับได้ว่าเป็นวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์โด่งดังลำดับต้นๆ ของเจียงหนาน

อาจเป็นได้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครเพียบพร้อมสมบูรณ์ในทุกด้าน แม้นหลายปีมานี้สกุลอวี๋จะประสบความสำเร็จในเส้นทางการเป็นขุนนาง หากแต่ในเรื่องลูกหลานกลับร่อยหรอลงทุกที ในสามพี่น้อง มีนายท่านรองที่เพิ่งจะได้บุตรชายคนหนึ่งเมื่อล่วงเข้าวัยสามสิบสองปีแล้ว

ซู่ซื่อผู้นี้ก็คือมารดาแท้ๆ ของคุณชายใหญ่สกุลอวี๋นั่นเอง

แม้ว่านางจะมิใช่ลูกสะใภ้คนโต แต่มีคุณงามความชอบจากการมีทายาทสืบสกุลอวี๋ ทั้งสามียังเป็นผู้ที่มีตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดในบรรดาพี่น้อง ฉะนั้นพูดได้ว่าซู่ซื่อไปที่ใดก็มีคนยกย่องให้เกียรติ ไม่มีผู้ใดหาญเทียบรัศมีนางได้

ครอบครัวสามีของท่านป้ากับสกุลอวี๋มีสัมพันธ์ไมตรีกันอยู่บ้าง ในเมื่อพบกันแล้วจึงรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน

ไม่รู้เพราะเหตุผลกลใด ซู่ซื่อชมชอบนางเป็นอันมาก พูดคุยกับนางตลอดเวลา

ท่านย่าเห็นเช่นนั้นก็เล่าเรื่องชวนขันของนางในยามเยาว์วัย ทำให้ซู่ซื่อหัวเราะชอบอกชอบใจ

ไม่กี่วันต่อมา ซู่ซื่อก็ส่งแม่สื่อมาทาบทามนางให้กับบุตรชายอวี๋จิ้งซิว

ท่านย่าดีใจมากถึงขั้นไม่ถามไถ่ความเห็นของท่านแม่ก็ตกปากรับคำการแต่งงานครั้งนี้

การแลกเปลี่ยนเทียบหมั้นและของหมั้นล้วนจัดการจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยในหนานจิง

ท่านแม่ไม่พึงพอใจมาก เขียนสารถึงท่านพ่อเป็นเชิงบ่นว่ากลายๆ “ไม่เคยเห็นค่าตาคุณชายอวี๋ผู้นั้น ก็ไม่รู้เป็นคนอย่างไร”

ท่านพ่อตอบสารกลับอย่างว่องไว ความว่าคุณชายใหญ่สกุลอวี๋ได้ชื่อว่ามีสติปัญญาดีแต่เยาว์วัย ห้าขวบเริ่มเล่าเรียน พอย่างสิบสองก็อ่าน ’อรรถาธิบายตำราทั้งสี่’* ได้เข้าใจ ขณะนี้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ร่ำเรียนวิชาความรู้อยู่ในสำนักของปราชญ์ใหญ่ฟั่นคุน มีอนาคตยาวไกลในภายภาคหน้า เป็นคู่ครองชั้นเลิศหาตัวจับยาก ให้ท่านแม่เลี้ยงดูนางดีๆ อย่าให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของสกุลฟู่ยามเมื่อออกเรือนไป

ท่านแม่คลายใจลงได้ จากนั้นให้นางอยู่ใกล้ชิดข้างกายแทบไม่เคยห่าง คอยสั่งสอนชี้แนะและอบรมบ่มนิสัย

ไฉนจู่ๆ บุตรสาวถึงมีสัมพันธ์ลับกับจั่วจวิ้นเจี๋ยได้เล่า

ท่านแม่ไม่เชื่อ

จั่วจวิ้นเจี๋ยดูเหมือนจะอ่านความคิดของท่านแม่ได้

“เป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ หากนายหญิงห้าเห็นสิ่งนี้แล้วก็จะทราบเองขอรับ” เขาล้วงเสื้อเอี๊ยมตัวหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “นี่เป็นของแทนใจที่ญาติผู้น้องมอบให้ข้า!”

ท่านแม่เป็นถึงประมุขหญิงของเรือนมานานหลายปี สะสางปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามามากมายเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ยังหน้าถอดสีไปในชั่วอึดใจเมื่อดูเสื้อเอี๊ยมตัวนั้นซ้ำอีกครา มันทำจากผ้าไหมหูโจวสีน้ำเงินสดกลางเก่ากลางใหม่ ปักลายดอกจำปาแดงแย้มบาน และใช้ไหมสีชมพูเดินเส้นขอบกลีบดอก สีสันลวดลายล้วนเป็นแบบที่นางโปรดปราน อีกทั้งเป็นวิธีปักที่นางใช้เป็นประจำ

“ท่าน…” ท่านแม่สุดปัญญาจะรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีก ลุกขึ้นยืนอย่างแตกตื่นลนลาน

หรือว่าบุตรสาวนางทำเรื่องเลอะเลือนถึงขั้นนี้จริงๆ…

ท่านแม่รีบยื่นมือจะไปหยิบ หมายพิศดูให้ละเอียดเพื่อแยกแยะว่าเป็นของจริงหรือของปลอม กลับชำเลืองเห็นทางหางตาว่าใบหน้าจั่วจวิ้นเจี๋ยมีรอยยิ้มกระหยิ่มใจผุดขึ้นวูบหนึ่ง มันทั้งสะดุดตาและบาดตาปานนั้น คล้ายตบหน้านางฉาดหนึ่งเลยทีเดียว

ท่านแม่อับอายระคนโกรธเคืองเหลือหลาย แต่ไม่กล้าแสดงอาการกราดเกรี้ยวออกมา…

ใครๆ ล้วนชอบสอดรู้เรื่องผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่องพรรค์อย่างนี้ กระทั่งเรื่องที่ไม่มีมูลยังถูกลือเป็นคุ้งเป็นแคว ไหนเลยจะหยุดยั้งจั่วจวิ้นเจี๋ยที่มากวนน้ำให้ขุ่นอย่างนี้ได้ ถึงเวลานั้นขอแค่มีข่าวระแคะระคายออกไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าชื่อเสียงนานนับร้อยปีของสกุลฟู่ต้องย่อยยับลงในวันเดียว แม้แต่นางกับท่านแม่ก็พลอยฉาวโฉ่ไปด้วย อย่างเบาถูกคนหัวเราะเยาะ ต้องก้มหน้าเจียมตัวไปตลอดชีวิต อย่างหนักก็ถูกขับไล่ออกจากสกุลฟู่ ไม่มีที่ยืนอีกต่อไป…

กระนั้นหากปล่อยให้จั่วจวิ้นเจี๋ยบังคับข่มขู่ตามอำเภอใจ มีแต่จะส่งเสริมให้เขากำเริบเสิบสานมากขึ้น แล้วเรื่องราวก็จะยิ่งบานปลายจนสะสางไม่ได้

ท่านแม่ดึงมือที่ชะงักค้างไว้กลับมา

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำราบเขาไว้บ้าง

หาไม่แล้วเขาจะนึกว่าเรือนนายท่านห้ายอมให้รังแกได้ง่ายๆ

ท่านแม่นั่งลงอย่างช้าๆ “ถ้าพวกอนุกับเมียบ่าวโวยวายว่าตนเองทำแก้วแหวนเงินทองหล่นหาย ข้าก็สอบสวนสาวใช้กับบ่าวไพร่ในเรือนทันที ข้าว่าตำแหน่งนายหญิงนี่ ข้าก็อย่าเป็นมันเสียเลย” จากนั้นออกปากไล่เขาอย่างไม่ไว้หน้า “ข้ามีเรื่องคุยกับพี่สาวคุณชายจั่วพอดี คงไม่รั้งตัวท่านแล้ว!”

ท่านแม่ยังกล่าวเตือนเขา “แม้จะพูดว่าคุณชายจั่วมิใช่คนเดิมในอดีตอีกแล้ว แต่เรื่องที่จวี่เหรินจะฟ้องร้องจิ้นซื่อนี้ ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นคราแรกในชีวิต ถึงตอนนั้นคุณชายจั่วจะต้องมีชื่อกระฉ่อนไปไกลจนเป็นที่โจษจันในหมู่ขุนนางทั้งนอกและในเมืองหลวงเป็นแน่ จะว่าไปแล้วพวกเขาเหล่านั้น ถ้ามิใช่เพื่อนบัณฑิตก็เป็นขุนนางร่วมราชสำนักกับสามีข้า แต่ไรมาสามีข้าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน หากรู้ว่าตนเองต้องเป็นหนี้บุญคุณสหายเก่าแก่เพราะเหตุนี้ เกรงแต่ว่าคงบันดาลโทสะเป็นการใหญ่ ข้าใคร่ครวญอยู่ว่าจะเขียนสารไปอธิบายกับสามีข้าล่วงหน้าก่อนสักหน่อยหรือไม่ หากเกิดเรื่องใดขึ้นจะได้ไม่ถูกสามีตำหนิว่าข้าเป็นภรรยาที่ปกครองเรือนไม่เข้มงวดกวดขัน ทำอะไรเหลวไหล!”

เส้นเลือดตรงหน้าผากจั่วจวิ้นเจี๋ยกระตุกริกๆ เขาลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ถึงกับถากถางว่าเขาเป็นเหมือนพวกอนุกับเมียบ่าว หนำซ้ำยกพี่สาวเขาขึ้นมาข่ม แล้วยังพูดเป็นนัยอีกว่านายท่านห้าเป็นมิตรสหายกับขุนนางทั้งนอกและในราชสำนัก และจะทำลายชื่อเสียงของเขา…

สายตาของเขาทอประกายดุดัน

ท่านแม่เห็นแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน ทว่าหมดทางถอยหลัง ได้แต่ตะโกนเรียกหญิงรับใช้ด้วยสุ้มเสียงสั่นเทาเล็กน้อย “คุณชายจั่วจะกลับแล้ว พวกเจ้าช่วยไปส่งแทนข้าที!”

ประตูบานเฟี้ยมถูกดันเปิดออกทันใด หญิงรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเดินเรียงแถวกันเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักๆ

จั่วจวิ้นเจี๋ยจับจ้องท่านแม่นิ่งๆ

เขาคิดไม่ถึงว่านายหญิงห้าที่ปกติไม่ช่างพูดช่างจา ใครว่าอะไรล้วนมีแต่คล้อยตามจะเป็นคนใจคอหนักแน่นเช่นนี้ กลับเป็นเขาที่ปรามาสนางเอง ดูท่าทางเขาต้องใช้ไม้แข็งบ้าง!

“ในเมื่อนายหญิงห้าเห็นว่าสมควรรายงานเรื่องนี้ให้นายท่านห้าทราบสักคำ เช่นนั้นข้าก็จะรอข่าวของนายท่านห้าก็แล้วกันขอรับ” เขาเอ่ยอย่างขึ้งเคียด “หลังจากคุณหนูเก้าแต่งเข้าสกุลจั่วข้า นายหญิงห้าอย่าเสียใจในภายหลังก็พอ ของที่คุณหนูเก้าปักด้วยตนเองยังมีอยู่ในมือข้าอีกมาก ก็ทิ้งให้นายหญิงห้าไว้ดูต่างหน้าเถอะ!” กล่าวจบเขาก็วางเสื้อเอี๊ยมทิ้งไว้ เดินออกไปอย่างยโสโอหัง

ยังมีอีกมาก…

ท่านแม่ได้ยินวาจานี้แล้วเหมือนโดนฟ้าผ่า ท่าทางแข็งกร้าวยามอยู่ต่อหน้าจั่วจวิ้นเจี๋ยอันตรธานไปในเวลาอันสั้น นางพูดสั่งหญิงรับใช้ที่เข้ามาด้วยความร้อนรน “รีบไปเรียกคุณหนูเก้ากับภรรยาของปี้ปอมาหาข้าเร็วเข้า!”

ภรรยาของปี้ปอมีชื่อว่าหรูซือ เป็นสาวใช้ที่ติดตามท่านแม่ออกเรือนมา ภายหลังแต่งงานกับปี้ปอเด็กรับใช้ของท่านพ่อ เป็นคนที่ท่านแม่เชื่อใจมากที่สุด

นางกับหรูซือตามหลังกันมาถึงห้องของท่านแม่

“ปิดประตู!” ท่านแม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ* ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สั่งคนรับใช้ด้านข้างเสียงกระด้าง จากนั้นเหวี่ยงมือโยนของที่ถูกขยุ้มเป็นก้อนกลมๆ มาทางพวกนาง

“เรื่องงามหน้าที่พวกเจ้าก่อไว้!” ของชิ้นนั้นลอยละลิ่วร่วงหล่นลงพื้น เป็นเสื้อเอี๊ยมสีน้ำเงินสดไม่เก่าไม่ใหม่ตัวหนึ่ง

พวกนางมองหน้ากันไปมา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปจับอยู่ที่เสื้อเอี๊ยมตัวนั้นพร้อมกัน และเฉลียวใจขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

“นะ…นี่มิใช่เสื้อเอี๊ยมของข้าหรือ…ไฉนถึงอยู่ที่นี่” นางสะดุ้งเฮือกใหญ่ นึกสังหรณ์ใจไม่ดีฉับพลัน “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ”

ขณะที่ภรรยาของปี้ปอแลมองท่านแม่ด้วยสีหน้ากังขาเต็มเปี่ยม

ท่านแม่แค่นเสียงฮึแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดรอบหนึ่ง

หญิงสาวตกตะลึง คับแค้นใจระคนโกรธเคืองหวาดหวั่น “ท่านแม่ ข้าไม่เคยแม้แต่จะพูดจากับจั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้น แล้วจะมีสัมพันธ์ลับกันได้อย่างไร” นางคุกเข่าลงตรงหน้ามารดา “แม้สกุลฟู่จะเรียกไม่ได้ว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่ง แต่ก็มิใช่ชาวบ้านต่ำต้อยยากจนอะไร ข้าเติบโตมาจนป่านนี้เคยขาดคนติดสอยห้อยตามเมื่อไรกัน อะไรที่เคยทำ อะไรที่ไม่เคยทำ ถึงปิดบังท่านแม่ได้ก็คงปิดบังคนข้างกายไม่ได้ หากท่านแม่ไม่เชื่อ สามารถไปถามแม่นม ถามอีถง อวี่เวย…” นางยังสาปแช่งสาบาน “หากข้ากระทำเรื่องไม่รู้จักยางอาย สร้างความอัปยศอดสูให้ครอบครัวเยี่ยงนี้ ก็ให้ข้าโดนฟ้าผ่าตาย…” ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ กลับถูกจั่วจวิ้นเจี๋ยใส่ร้ายป้ายสี ซ้ำยังต้องมาพูดอธิบายต่อหน้าท่านแม่กับภรรยาของปี้ปอ ทำให้นางสะเทือนใจยากทานทนไหว

น้ำตานางไหลพรากด้วยความเสียใจ

“ลุกขึ้นมาพูดกันดีๆ” ท่านแม่มองนางตาขุ่นเขียว “ข้าถามเจ้าว่านี่เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”

ฟู่ถิงจวินอึกอัก จะอย่างไรก็เอ่ยคำว่า ‘ใช่’ ออกจากปากไม่ได้

“ของของเจ้าไปอยู่ในมือจั่วจวิ้นเจี๋ยได้อย่างไร” ท่านแม่คาดคั้นไม่ลดละ สุ้มเสียงที่จงใจกดต่ำลงด้วยกลัวคนได้ยินเจือโทสะ “เจ้าไม่ลองตรึกตรองดีๆ ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ กลับรู้จักแต่ร้องห่มร้องไห้ ตะโกนโวยวาย วันหน้าออกเรือนไปที่สกุลอวี๋เจ้าจะปกครองเรือนอย่างไร จะเป็นประมุขหญิงของเรือนอย่างไร ข้าสอนเจ้ามาหลายปีอย่างนี้ถือว่าสูญเปล่า”

“ท่านแม่!” นางมองมารดาอย่างตะลึงงัน ดวงตาแดงก่ำ มีคราบน้ำตาเกาะอยู่บนหน้า

ท่านแม่เห็นแล้วใจอ่อนยวบลง

นางอายุยังน้อยไหนเลยจะเคยประสบผ่านเรื่องพวกนี้ พอพบปัญหาก็ช่วยมิได้ที่จะทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ท่านแม่คงรู้สึกว่าตนเองเข้มงวดบีบคั้นนางมากเกินไปแล้ว

“ต่อให้ข้าไม่เชื่อถือธรรมเนียมของสกุลฟู่ แต่มีหรือที่ข้าจะไม่เชื่อใจบุตรสาวที่สั่งสอนมาเองกับมือ!” นางเสียงอ่อนลงไม่น้อย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ทำเรื่องพรรค์นี้!”

นางกอดมารดาไว้แน่น

ในเวลาอย่างนี้จะมีอะไรที่ทำให้ซาบซึ้งและอบอุ่นใจได้มากกว่าความเชื่อใจของคนใกล้ชิดเล่า

แต่เพราะอะไรความโศกเศร้าขมขื่นในใจไม่อาจเลือนหายไปได้อยู่จนแล้วจนรอด…

ภรรยาของปี้ปอร้อนใจจนนั่งไม่ติดแต่แรก ตอนนี้ถึงกล้าเอ่ยปากพูด “นี่จะทำประการใดกันดีเจ้าคะ อีกไม่นานสกุลอวี๋ก็จะส่งคนมาหารือฤกษ์แต่งงาน หากให้พวกเขารู้เรื่องเข้า ไม่ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้หรือไม่ก็ตามที เกรงว่าก็ต้องบังเกิดข้อเคลือบแคลงใจ ถึงแม้จะไม่ถอนหมั้น แต่หวั่นใจว่าคุณหนูเก้าออกเรือนไปที่นั่นก็คงอยู่อย่างไม่มีความสุข ถึงตอนนั้นคุณหนูเก้าจะทำเช่นไรเจ้าคะ”

“ข้าตามพวกเจ้ามาก็เพราะเรื่องนี้” ท่านแม่ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้นางเช็ดหน้าพลางเอ่ยอย่างหนักอกหนักใจ “แม้จั่วจวิ้นเจี๋ยจะมีจิตใจชั่วช้าเลวทราม แต่เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง หาไม่แล้วตอนนั้นเขาคงไม่กลับมาที่สกุลฟู่อีกครั้งอย่างไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี ในเมื่อเขากล้าพูดจากับข้าแบบนี้เห็นทีว่าคงเตรียมการพร้อมพรักไว้ล่วงหน้า วันนี้เขาถูกข้าเหน็บแนมแดกดันจนหัวเสียกลับไป ดีไม่ดีวันพรุ่งนี้จะก่อปัญหาอะไรให้อีกก็เป็นได้ ส่วนคนที่รู้ความเคยชินของถิงจวินจะต้องเป็นคนข้างกายแน่ ถึงพวกนางไม่ได้ทำเรื่องนี้ ก็ต้องมีส่วนพัวพันอย่างหนีไม่พ้น” ท่านแม่ชิงชังพวกบ่าวไพร่ที่เล่นไม่ซื่อลับหลังเป็นที่สุด น้ำเสียงจึงดุดันมาก “เรื่องเร่งร้อนในตอนนี้คือหาตัวคนเนรคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาผู้นี้ออกมา และตรวจสอบให้แจ่มแจ้งว่าในห้องของถิงจวินยังมีอะไรหายไปอีกบ้าง มิเช่นนั้นพวกเราอยู่ในที่แจ้ง จั่วจวิ้นเจี๋ยอยู่ในที่ลับ ยากจะป้องกันได้รอบด้าน มีแต่ตกเป็นฝ่ายถูกโจมตี”

“นายหญิงห้า มอบเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเองเจ้าค่ะ!” ภรรยาของปี้ปอเป็นเดือดเป็นแค้นแทน เอ่ยขึ้นทันควัน “ข้าช่วยท่านสะสางงานการต่างๆ มาหลายปี รู้ตื้นลึกหนาบางของสาวใช้กับบ่าวไพร่ในเรือนของคุณหนูเก้าทุกคน จะตรวจสอบอะไรก็สะดวก…”

“ไม่ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ดวงตาท่านแม่ทอประกายกร้าววูบหนึ่ง นางพูดกำชับภรรยาของปี้ปอ “เจ้าไปจัดของแล้วให้ทางเรือนหน้าเตรียมรถม้าไว้ พรุ่งนี้พวกเราจะไปไหว้พระที่อารามปี้อวิ๋นกัน”

เวลานี้ยังจะไปไหว้พระ…

ภรรยาของปี้ปอมองท่านแม่อย่างหลากใจ

ท่านแม่พยักหน้า “จั่วจวิ้นเจี๋ยกับท่านลุงใหญ่เป็นญาติกันจากการผูกดอง ตอนนั้นที่ให้เขาเข้ามาพำนักอาศัยก็เป็นความประสงค์ของท่านลุงใหญ่ ตอนนี้เขาก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าคงได้แต่ขอให้ท่านลุงใหญ่ออกหน้าปรามเขาไว้บ้าง” ท่านแม่เป็นกังวลอยู่บ้าง “จั่วจวิ้นเจี๋ยในตอนนี้ไม่รู้ว่าท่านลุงใหญ่ยังปรามอยู่หรือไม่ ถ้าปรามไว้ได้ก็ดีไป แต่ถ้าปรามไม่อยู่ กลัวว่ายังต้องโกลาหลวุ่นวายกันอีก…มิสู้ให้ถิงจวินหลบไปที่อื่นดีกว่า”

ท่านแม่เอ่ยเสียงเบา “ลวี่เอ้อกับหานเยียนที่อยู่ในเรือนข้าทั้งซื่อสัตย์ภักดีและว่านอนสอนง่าย สองคนนี้ไว้ใจได้ ถึงเวลานั้นเจ้าพาพวกนางไปด้วย เพียงบอกว่าถิงจวินนั่งรถม้าตรากตรำจนจับไข้สูง จำเป็นต้องพักผ่อนอย่างสงบที่อาราม จากนั้นข้าจะพาคนอื่นๆ กลับมา ส่วนเจ้ากับลวี่เอ้อ หานเยียนก็อยู่ที่นั่นดูแลถิงจวิน รอให้เรื่องผ่านไป ข้าค่อยส่งคนไปรับพวกเจ้า”

เป็นความคิดที่ดี ถ้าเกิดจั่วจวิ้นเจี๋ยโวยวายขึ้นมาจริงๆ คุณหนูเก้าจะได้ไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ

“เจ้าค่ะ” ภรรยาของปี้ปอยอบกายขานตอบ แล้วถอยออกไป

ฟู่ถิงจวินยืนก้มหน้าไม่พูดไม่จาอยู่ตลอด

ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมผ่านไม่ได้* ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้คงถูกลือออกไป

ในจวนมีพี่น้องตั้งหลายคน เหตุไฉนจั่วจวิ้นเจี๋ยถึงเจาะจงเลือกนาง

รอเมื่อภรรยาของปี้ปอออกไปแล้ว นางอดถามมารดามิได้ พร้อมกับน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสายอีกครา “ข้าไม่เคยล่วงเกินเขามาก่อน กับพี่สะใภ้ใหญ่ข้าก็เคารพนอบน้อม ทำไมเขาต้องให้ร้ายข้าด้วย”

ช่างเป็นคราวเคราะห์ของนางจริงๆ

ท่านแม่ก็ทำตาแดงๆ ขณะปลอบใจนาง “เขาเป็นสุนัขบ้าที่กัดคนไม่เลือกหน้า!”

นางมองหน้ามารดาตรงๆ “ท่านลุงใหญ่มีบุญคุณใหญ่หลวงกับจั่วจวิ้นเจี๋ย เขา…เขาต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านลุงใหญ่เป็นแน่ใช่ไหมเจ้าคะ”

ถ้าจั่วจวิ้นเจี๋ยยังเห็นแก่ไมตรีแต่หนหลัง มีหรือจะทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้!

เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของบุตรสาว ไม่ว่าอย่างไรก็เอื้อนเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมามิได้ นายหญิงห้าฝืนทำสีหน้ายิ้มแย้ม “ฉะนั้นข้าต้องขอร้องท่านลุงใหญ่ของเจ้า ให้ท่านลุงใหญ่ดุสั่งสอนเขาให้หนักๆ เขาก็จะสงบเสงี่ยมไปเอง”

อย่างนั้นหรือ?

เช่นนั้นเพราะอะไรสายตาของท่านแม่ที่มองนางถึงหลุกหลิกไปมา

“ท่านแม่ เขียนสารถึงท่านพ่อเถอะเจ้าค่ะ!” นางคว้าแขนเสื้อของมารดาไว้หมับพลางพูดอ้อนวอน “ท่านพ่อเป็นอาจารย์ในสำนักราชบัณฑิต แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องทรงร่ำเรียนคัมภีร์ปราชญ์กับท่านพ่อ ท่านพ่อจะต้องมีวิธีแน่…จะต้องมีวิธีแน่…”

“ได้ ข้าจะเขียนสารถึงท่านพ่อเจ้า!” ท่านแม่กอดนางไว้ น้ำตาหยดลงมาเปียกซึมไหล่เสื้อของนาง “เจ้าพักอยู่ในอารามปี้อวิ๋นให้สบาย ไม่ต้องออกไปที่ใดทั้งสิ้น ถ้ามีคนไปพูดอะไรที่นั่น เจ้าแสร้งไม่รู้ไม่เห็นท่าเดียว แล้วข้าจะไปรับเจ้าโดยเร็ว!”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย รู้สึกปวดหนึบๆ ตรงกลางใจ

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com