คำพูดหลังจากนั้นฮั่วสุยเฟิงไม่ได้กล่าวต่อเพราะน่ากลัวเกินไป เขาเกรงว่าโม่เซี่ยวเหนียงจะตกใจ
หลังนายหน้าค้าทาสจากไปได้สามวันก็มีคนพบศพสตรีจมน้ำอยู่ในสระข้างป่านั้น ใบหน้าแช่น้ำจนบวมอืด
แต่จากบันทึกการชันสูตรศพของที่ว่าการพบว่าที่กลางหลังของศพมีปานรูปใบไม้อยู่ พี่สาวของเชี่ยวจือเคยบอกไว้ว่าน้องสาวนางก็มีปานรูปใบไม้อยู่ที่กลางหลังเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีคนสังหารเชี่ยวจือตัวจริงและสับเปลี่ยนแฝงตัวเข้ามาในจวนโม่เป่ยอ๋อง
ฮั่วสุยเฟิงตกใจจนเหงื่อเย็นไหลซึม หากไม่ใช่เพราะสตรีผู้นั้นเผยพิรุธแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่านางอาจทำเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเชี่ยวจือตัวปลอมนั่นมาจากที่ใด ฮั่วสุยเฟิงจึงสั่งให้คนติดประกาศพร้อมภาพวาดของนาง ประกาศจับคนด้วยเงินรางวัลก้อนโต หวังว่าจะสามารถตามหาสตรีผู้นั้นจนพบได้
โม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีก นางกินองุ่นจนหมดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ายังอยากกินผิงกั่วอีก…”
ฮั่วสุยเฟิงตามใจโม่เซี่ยวเหนียงเรื่องอาหารเสมอ คิดว่ายามเย็นนางกินไปไม่มาก หากกินผลไม้เพิ่มก็ดีเช่นกัน จึงลุกขึ้นไปหยิบผิงกั่วให้
โม่เซี่ยวเหนียงรีบเอ่ยขึ้น “เจ้าเพิ่งนวดเท้าให้ข้า ยังมิได้ล้างมือก็ไปจับผลไม้ ไม่รู้หรือว่ากลิ่นหอมและกลิ่นเหม็นปะปนกันได้!”
ฮั่วสุยเฟิงหัวเราะ ก่อนก้มลงไปดมนิ้วเท้าขาวเนียนของนางพลางกล่าว “หอมกรุ่นยิ่ง เหม็นตรงที่ใดกัน ข้ายังไม่รังเกียจ แต่เจ้ากลับรังเกียจตนเองเสียแล้ว!”
แม้เขาจะพูดหยอกล้อ ทว่ายังให้หานเยียนเตรียมน้ำแล้วล้างมือให้สะอาดเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยปอกผิงกั่วให้โม่เซี่ยวเหนียง
โม่เซี่ยวเหนียงเอนกายกึ่งนอนบนเตียง มองดูเขาปอกผิงกั่วโดยไม่ขยับตัว ก่อนเอ่ยถามขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจว่า “เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าปอกเปลือกถึงตั้งใจไม่ให้เปลือกขาด”
ฮั่วสุยเฟิงมิได้ตอบ มือยังคงปอกผิงกั่วอย่างรวดเร็ว จนผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อโม่เซี่ยวเหนียงคิดว่าเขาจะไม่ตอบ ถึงได้ยินเสียงเขาเอ่ยขึ้น
“มารดาข้าเคยกล่าวไว้ว่าหากไม่ให้เปลือกผลไม้ขาดระหว่างปอก คำอธิษฐานในใจจะเป็นความจริง…” หลังพูดจบในห้องพลันเงียบกริบ จนเมื่อฮั่วสุยเฟิงปอกเสร็จและยื่นผิงกั่วให้นาง เขาจึงถามว่า “เหตุใดถึงเงียบไปเล่า”
โม่เซี่ยวเหนียงมองดูผิงกั่วในมือเขานิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆ รับมาแล้วกล่าวยิ้มๆ “ข้าแค่คิดว่าเจ้าเป็นคนเชื่อฟังคำมารดายิ่งนัก ทั้งที่ไม่รู้ว่าคำอธิษฐานที่ขอไปนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่”
ฮั่วสุยเฟิงก้มลงจุมพิตหน้าผากของนางเบาๆ แล้วเอ่ย “ตอนนี้ข้าได้แต่งงานกับเจ้าแล้ว อีกทั้งกำลังจะมีบุตร ข้ายังมีคำอธิษฐานใดที่ต้องขออีกหรือ ขอเพียงทุกเช้าค่ำพวกเราไม่ต้องพรากจากกันอีกก็พอ”
โม่เซี่ยวเหนียงมองใบหน้าอิ่มเอมใจของเขานิ่งๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบดั้งจมูกโด่งของเขาแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “ตราบใดที่เจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ มิได้ปิดบังหรือหลอกลวง ข้าย่อมเป็นภรรยาเจ้าไปชั่วชีวิต ไม่มีวันพรากจาก…”
ระหว่างที่พูดฮั่วสุยเฟิงเหมือนจะกะพริบตาโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มที่มุมปากของเขาดูเหมือนจะเลือนหายไปครู่หนึ่ง
ทว่าโม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้เอ่ยคำใดเพื่อหยั่งเชิงต่อ เพียงเอนกายนอนลงบนเตียง หลับตาแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าเริ่มง่วงแล้ว อีกสักครู่อย่าลืมเอาหมอนมาหนุนใต้เท้าข้าด้วย จะได้ไม่บวมอีก…”
ใช่ว่านางคิดจะช่วยหาทางลงให้คนหลอกลวงสารเลวผู้นี้ เพียงแต่ในบางครั้งมนุษย์ล้วนมีความเฉื่อยชาเพราะพึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ดังเดิม หาไม่แล้วเหตุใดน้ำอุ่นถึงสามารถต้มกบให้สุกได้เล่า
ในตอนนี้นางก็เป็นเพียงกบโง่งมตัวหนึ่งที่ถูกความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ของฮั่วสุยเฟิงห่อหุ้มไว้ แม้ในใจจะเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างออก แต่นางกลับเกิดความรู้สึกหวาดกลัว ทำใจรีบเปิดเผยไม่ลง
ยุคโบราณเช่นนี้แม้ไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงหรือความสะดวกสบายที่ทันสมัย แต่ก็มีสิ่งที่นางสูญเสียไปอย่างสิ้นเชิงในโลกความจริง นั่นก็คือความรักและความผูกพันของครอบครัว ทั้งยังมีชีวิตแต่งงานที่สงบสุขและราบรื่นซึ่งนางไม่เคยได้มีในโลกความจริงมาก่อน
แม้โลกจะวุ่นวายและไม่แน่นอนเหมือนกับพล็อตเรื่องที่นักเขียนสารเลวนั่นเขียนขึ้น แต่ในเขตแดนเล็กๆ ในเรือนหลังของจวนโม่เป่ยอ๋องแห่งนี้ก็ช่างสงบและสุขสบายอย่างไร้ที่เปรียบจริงๆ
บุตรของนางยังไม่ถือกำเนิด นางอยู่มาสองชาติ แต่ก็ยังไม่เคยสัมผัสความสุขของการได้อุ้มทารกน้อยตัวนุ่มนิ่มสักครา
ความฝันที่งดงามช่างแสนสั้นจนนางไม่อยากตื่นขึ้นมา
หากฮั่วสุยเฟิงเป็นคนหลอกลวง นางก็หวังว่าเขาจะโกหกได้แนบเนียนขึ้นอีกสักหน่อย เพื่อให้นางถูกหลอกและดื่มด่ำอยู่ในโลกมายาที่ก่อไว้ด้วยคำลวงนี้ไปตลอดชีวิต
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ก.ย. 68