บทที่ 133
เนื่องจากเหตุการณ์เชี่ยวจือถูกสวมรอย จวนโม่เป่ยอ๋องที่ภายนอกดูเงียบสงบ ความจริงแล้วมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบทั่วทั้งจวน บรรดาบ่าวในจวนทุกคนต้องเรียกญาติพี่น้องจากบ้านเกิดมาแสดงตัว หลังยืนยันความบริสุทธิ์ของตระกูลสามชั่วคนจนชัดเจนไร้ข้อสงสัยแล้วถึงจะกลับมาทำงานได้
เมื่อเป็นเช่นนี้หานเยียนก็ยังแต่งงานในช่วงนี้ไม่ได้ โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกเสียใจที่ตนเองแต่งงานช้าจนกระทบกับบ่าวรับใช้ของตน จึงกล่าวกับหานเยียนว่าหากมีโอกาสจะขอร้องจวิ้นอ๋องให้ปล่อยนางออกจากจวน
แต่หานเยียนกลับส่ายหน้าและเอ่ยด้วยความหวาดผวาที่ยังคงมีอยู่ในใจว่า “คุณหนู ท่านอย่าได้ไปรบกวนจวิ้นอ๋องเลยเจ้าค่ะ เขาทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน อย่างไรเสียก็หมั้นหมายแล้ว หากซิวจู๋ไม่อยากรอก็ให้เขาแต่งกับคนอื่นไปเถิดเจ้าค่ะ ส่วนบ่าวนั้นขอรอจนกว่าคุณหนูจะปลอดภัยเสียก่อน บ่าวถึงจะวางใจลงได้”
หานเยียนรู้เรื่องภายในเป็นอย่างดี ฮั่วสุยเฟิงบอกความจริงเกี่ยวกับการตายอย่างน่าอนาถของเชี่ยวจือให้พวกนางทราบ เพื่อให้พวกนางรอบคอบและระมัดระวังตนเอง
หานเยียนไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับโม่เซี่ยวเหนียง แต่นางเองก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ และดีใจที่ตอนนั้นจวิ้นอ๋องไม่ให้เชี่ยวจือเข้าไปแตะต้องอาหารของโม่เซี่ยวเหนียง อีกทั้งน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวันของโม่เซี่ยวเหนียงก็มีการตรวจด้วยเข็มเงินเพื่อทดสอบพิษเสมอ มิฉะนั้นหากสตรีร้ายกาจพรรค์นั้นได้เข้าใกล้โม่เซี่ยวเหนียงก็อาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นได้
โม่เซี่ยวเหนียงยืดร่างกายที่อวบอิ่มขึ้นตามกาลเวลา ลูบท้องของตนแล้วเอ่ย “อีกเพียงครึ่งปีข้าก็จะคลอดแล้ว ถึงตอนนั้นหากเขาไม่อนุญาต ข้าก็จะให้เจ้าออกจากจวนให้จงได้”
ในจวนอื่นหากสตรีกำลังตั้งครรภ์ ช่วงเวลานี้ก็มักเริ่มหาแม่นมกันแล้ว แต่สำหรับโม่เซี่ยวเหนียง นางตั้งใจจะข้ามขั้นตอนนี้ไป ถึงอย่างไรนางก็มีไส้ในเป็นคนยุคปัจจุบัน รู้ดีว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เองนั้นมีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งนางก็ยอมรับไม่ได้ที่บุตรของตนจะถูกเลี้ยงดูด้วยนมจากสตรีอื่น
ดังนั้นโม่เซี่ยวเหนียงในฐานะภรรยาเต็มเวลาในยุคโบราณจึงตั้งใจที่จะเลี้ยงบุตรด้วยตนเอง และฮั่วสุยเฟิงก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรกับเรื่องนี้ เหมือนเขาจะคิดว่าการที่โม่เซี่ยวเหนียงทำลายธรรมเนียมปฏิบัติของสตรีสูงศักดิ์โดยเลี้ยงบุตรเองนั้นไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสม
กลับเป็นฉู่เฉียวอีที่มองว่าโม่เซี่ยวเหนียงคิดเล็กคิดน้อยเกินไป และเหมือนนำกลิ่นอายชนบทเข้ามาในจวนโม่เป่ยอ๋องที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
เนื่องจากสกุลซั่นยังไม่มารับตัวฉู่เฉียวอีกลับไป อีกทั้งไม่มีทีท่าว่าจะคืนดีกัน นางจึงยังอยู่ที่บ้านเดิมของตน และเนื่องจากเวลานี้ฉู่เซิ่นกับหูซื่ออยู่ที่จวนโม่เป่ยอ๋อง นางจึงมักมาพักใจที่เรือนของโม่เซี่ยวเหนียง บางครั้งก็เล่าเรื่องราวประสบการณ์การเลี้ยงบุตรของตนเอง ทว่าหัวข้อพวกนี้เมื่อเล่าถึงตอนท้ายก็มักจบลงด้วยการคิดถึงบุตรตัวน้อยพร้อมกับน้ำตานองหน้า
ฉู่เฉียวอีคิดถึงบุตรของนางเหลือเกิน จนอดไม่ได้ที่จะด่าทอสกุลซั่นอย่างเจ็บแค้นอีกครั้งว่าใจร้าย
นับตั้งแต่ตั้งครรภ์โม่เซี่ยวเหนียงก็มุ่งมั่นที่จะซึมซับแต่พลังงานบวกที่ทำให้อารมณ์ดี ดังนั้นคำกล่าวโทษแต่ผู้อื่นยกเว้นตนเองของฉู่เฉียวอี นางจึงพยายามไม่เก็บมาใส่ใจ
วันนี้ฉู่เฉียวอีพูดไปพูดมาก็ดูท่าจะเริ่มเข้าสู่เส้นทางของสะใภ้เสียงหลินอีกแล้ว โม่เซี่ยวเหนียงจึงพูดสวนขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
“เพราะเรื่องของเจ้า ท่านพ่อถึงกับลดศักดิ์ศรีไปหาสกุลซั่นหลายครั้งเพื่อช่วยพูดให้เจ้า หลังจากนั้นแม้แต่สุยเฟิงก็ยังไปด้วย และจะเขียนหนังสือรับรองให้เจ้าด้วย แต่ดูจากท่าทางของเจ้าแล้วไม่มีท่าทีว่าจะสำนึกผิดแม้แต่น้อย หากกลับไปสกุลซั่นแล้วก่อเรื่องอีก เช่นนั้นจะไม่ใช่เอาศักดิ์ศรีของท่านพ่อกับสุยเฟิงไปขยี้ด้วยรองเท้าหรือไร”
เมื่อฉู่เฉียวอีได้ยินดังนั้น นางก็รีบเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “อย่าเชียว! ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว แต่เพราะสกุลซั่นไม่ยอมให้ข้าได้พบบุตร ข้าก็แค่…แค่ร้อนใจจนพูดจาไม่ระวังปากเท่านั้นเอง…”
โม่เซี่ยวเหนียงถอนหายใจแล้วกล่าว “แต่ก่อนสกุลซั่นยอมอดทนกับเจ้าทุกเรื่องไม่ใช่เพราะสกุลฉู่ของเรามีอำนาจใหญ่โต แต่เพราะพวกเขาใจกว้าง ทว่าใจกว้างเพียงใดก็ย่อมมีขีดจำกัด ท่านพ่อบอกไว้ว่าหากเจ้าต้องการกลับไป เจ้าต้องเขียนหนังสือรับรองว่าจะตัดขาดกับสกุลเยวี่ยอย่างสิ้นเชิง และหากก่อเรื่องขึ้นอีก สกุลซั่นก็จะส่งหนังสือหย่า หย่าขาดกับเจ้าทันที!”
อาการหวาดกลัวของฉู่เฉียวอีเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่มารดาปล่อยให้นางต้องเผชิญกับชะตากรรมอย่างไม่สนใจไยดี จนนางต้องหลบโจรด้วยการซ่อนตัวในบ่อเกรอะ ตอนนี้เมื่อพูดถึงสกุลเยวี่ยขึ้นมา นางจึงบันดาลโทสะทันที