แม้นางจะพยายามดูแลมารดาของตนอย่างเต็มที่ แต่มารดากลับใจร้ายไม่แยแสนาง ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่เป็นเช่นนี้ แม้จะตัดขาดไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์
ฉู่เฉียวอีอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำด้วยความน้อยใจ น้ำตาของนางเริ่มไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง
พอดีกับที่ฮั่วสุยเฟิงกลับมาจากข้างนอก เมื่อเห็นฉู่เฉียวอีกำลังร่ำไห้คร่ำครวญ เขาก็ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจน
“เฉียวอี ได้เวลากินอาหารแล้ว เซี่ยวเหนียงกินแต่อาหารบำรุงร่างกายที่จืดชืด จึงขอไม่รั้งเจ้าไว้ร่วมกินอาหารด้วย หานเยียน ส่งแขก!”
ความเกรงกลัวที่ฉู่เฉียวอีมีต่อฮั่วสุยเฟิงนั้นมีมาตั้งแต่เด็ก แม้ในยามนี้ที่ปีศาจน้อยในอดีตค่อยๆ สุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่มีความก้าวร้าวเช่นวัยเยาว์แล้ว แต่นางก็ยังคงเคยชินที่จะหลีกเลี่ยงฮั่วสุยเฟิงอยู่เสมอ แล้วนิสัยนี้ก็แก้ไม่หายด้วย
ดังนั้นเมื่อฮั่วสุยเฟิงออกคำสั่งไล่อย่างไม่เกรงใจ ฉู่เฉียวอีก็ลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
หลังฉู่เฉียวอีจากไป ฮั่วสุยเฟิงก็ปลดเสื้อคลุมของตนพลางเอ่ยกับเหล่าบ่าวรับใช้คนสนิทว่า “หากคราวหน้าคุณหนูรองมาร้องไห้คร่ำครวญอีก พวกเจ้าก็เชิญนางออกไปเสีย บอกว่านี่เป็นคำสั่งของข้า อ้างไปว่าช่วงนี้คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าอารมณ์ไม่ดี ฟังคนร้องไห้ไม่ได้”
โม่เซี่ยวเหนียงกำลังตรวจดูรองเท้าลายหัวเสือคู่เล็กในมือที่ตนเป็นคนเย็บเอง พอได้ยินฮั่วสุยเฟิงพูดเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
เหตุผลที่ฮั่วสุยเฟิงยอมลดเกียรติลงไปพูดกับสกุลซั่นพร้อมฉู่เซิ่นก็เพื่อหวังให้คนสร้างความรำคาญออกไปจากจวนโดยเร็ว แม้จะรู้สึกผิดกับสกุลซั่นอยู่บ้าง แต่ฮั่วสุยเฟิงเป็นคนที่ยึดถือหลักที่ว่าสนใจเพียงเรื่องของตนเองมาโดยตลอด สิ่งสำคัญที่สุดคือภรรยาของเขาต้องไม่ถูกรบกวน
โม่เซี่ยวเหนียงส่งรองเท้าหัวเสือที่เพิ่งเย็บเสร็จให้เขาดู พร้อมกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าจะได้บุตรชายหรือบุตรสาว อีกสักสองวันข้าคงต้องเย็บรองเท้าคู่เล็กๆ อีกสักคู่แล้ว”
ฮั่วสุยเฟิงยื่นหน้ามาจุมพิตที่แก้มนางเบาๆ แล้วกล่าว “ทำเช่นนี้คงทำให้ตาล้ามาก ให้ช่างเย็บผ้าในจวนทำเถิด”
โม่เซี่ยวเหนียงตอบว่า “อุดอู้อยู่ในเรือนทั้งวันไม่มีอะไรทำ หากไม่หางานอะไรทำบ้างข้าคงขึ้นราแล้ว ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว ตัวก็ยังไม่หนักมากนัก ทำงานพวกนี้ช่วยให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นด้วย”
เมื่อฮั่วสุยเฟิงได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะโน้มกายลงไปกระซิบข้างหูนาง
“หมอเคยบอกไว้ว่าเข้าเดือนที่ห้าแล้วสามารถอยู่ด้วยกันได้…เจ้าให้ข้าได้คลายความปรารถนาสักหน่อยได้หรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงรู้ดีว่าที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร นับตั้งแต่นางรู้ว่าตนเองเริ่มตั้งครรภ์ ฮั่วสุยเฟิงก็ละเว้นความปรารถนานั้นด้วยเช่นกัน
เขาอยู่ในวัยที่เต็มเปี่ยมด้วยกำลังวังชา แต่ในจวนไม่มีอนุหรือนางบำเรอ เขาจึงต้องไปที่ค่ายทหาร โดยชกกระสอบทรายหรือฝึกฝนเหล่าทหารเพื่อใช้พลังงานอันล้นเหลือให้หมดไป บัดนี้อุตส่าห์รอจนภรรยาตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ฮั่วสุยเฟิงย่อมมีความคิดอยากจะทำอะไรสักอย่างและมีความกระหายที่อดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามอู๋เซี่ยวเซี่ยวที่เคยมีประสบการณ์การแท้งบุตรในโลกความจริงยังคงรู้สึกวิตกกังวล แม้ฮั่วสุยเฟิงจะพยายามอ้อนวอน แต่นางก็ไม่ยินยอม เมื่อเป็นเช่นนี้ฮั่วสุยเฟิงจึงต้องยอมลดระดับความต้องการและก้มลงไปกระซิบข้างหูของโม่เซี่ยวเหนียงแทน
คำพูดของฮั่วสุยเฟิงทำให้หูของโม่เซี่ยวเหนียงร้อนจนเหมือนจะทอดไข่ได้ นางอดไม่ได้ที่จะผลักเขาออกพลางกล่าวขึ้น
“ข้าไม่ทำ! จะมีท่วงท่าที่ไม่เหมาะสมมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร เจ้าไปเรียนมาจากผู้ใดกันแน่”
ฮั่วสุยเฟิงนอนหนุนตักออดอ้อนนางเหมือนสมัยเด็ก ทำหน้าไม่พอใจแล้วกล่าว “ข้าได้ยินสหายร่วมงานเล่าให้ฟัง พวกเขาบอกว่าอยู่ในค่ายทหารมานาน ตอนกลับบ้านเหล่าภรรยาของพวกเขาล้วนเหมือนยุ้งฉางว่างเปล่าที่เติมไม่รู้จักเต็ม จึงได้ทำตามใจชอบเต็มที่ แต่เจ้า ข้าห่างหายจากการส่งเสบียงให้เจ้ามานานแล้ว แต่เจ้ากลับไม่รู้สึกว่างเปล่าสักนิด…”
โม่เซี่ยวเหนียงหลุดหัวเราะออกมาเพราะคำเปรียบเปรยที่ไร้สาระของเขา ก่อนเอ่ยค่อนขอดว่า “ไม่มีใครสนใจว่าเจ้าจะหอบกระสอบข้าวไปที่ใด หากข้าทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าก็ไปส่งเสบียงที่อื่นเสียเถิด…”
ฮั่วสุยเฟิงเอื้อมมือมาบีบจมูกนางพลางพูดว่า “ข้าก็เลือกคน กับคนอื่นข้าทำไม่ได้ หากเจ้าทำให้ข้าหงุดหงิดอีก ระวังข้าจะทำเช่นโจร จับเจ้ามัดติดเสาไว้ใช้สอย…”
คำพูดนี้โม่เซี่ยวเหนียงเคยได้ยินมาก่อน ตอนที่นางติดตามบิดาเลี้ยงไปปราบโจรที่ซีเป่ย โจรพวกนั้นมีวิธีย่ำยีคนหลายวิธี นึกไม่ถึงว่าฮั่วสุยเฟิงจะหยิบยกเรื่องเช่นนี้มาพูดหยอกล้อ นางจึงอดยื่นมือไปทุบอกเขาไม่ได้
ฮั่วสุยเฟิงหัวเราะรับการทุบตีของภรรยา เสียงหัวเราะที่ลึกและหนักแน่นสะท้อนในแผ่นอกกำยำ