ประโยคเหล่านี้หมายความว่าอดีตฮ่องเต้เชื่อมั่นว่าฉู่เซิ่นบิดาเลี้ยงของนางเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ดังนั้นก่อนสวรรคตจึงได้กำชับลูกสะใภ้และหลานชายไว้ว่าหากเกิดเรื่องในภายหน้าให้ไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพฉู่ผู้เปี่ยมด้วยความซื่อสัตย์และคุณธรรม
แต่ในยามนี้สกุลเซียวเหมือนจะฉวยโอกาสที่สถานการณ์วุ่นวายกุมอำนาจในราชสำนักไว้จนหมดสิ้น หากฉู่เซิ่นและบุตรเขยคนโตของเขาไม่แสดงจุดยืน เสี่ยนเหรินไทเฮาก็อาจถูกกดดันให้ต้องยอมทำตามสถานการณ์ ตามสกุลเซียวกลับไปยังลั่วหยาง
เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าอำนาจของสกุลเซียวจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนอำนาจของฮ่องเต้วัยเยาว์ก็จะไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้อีกต่อไป
ขณะนี้ผู้เดียวในราชสำนักที่สามารถต่อกรกับสกุลเซียวได้ก็มีเพียงฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องฮั่วสุยเฟิง แต่จวิ้นอ๋องผู้นี้ก็แตกต่างจากฉู่เซิ่นผู้เป็นพ่อตาที่เป็นคนตรงไปตรงมา เพราะเขามีความคิดและแผนการของตนเอง
โดยเฉพาะในที่ประชุมราชสำนักเมื่อวันก่อน เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ต่างถกเถียงกันอย่างดุเดือดเรื่องการแปรพระราชฐานของฮ่องเต้วัยเยาว์ว่าจะไปหรืออยู่ ทว่าจวิ้นอ๋องน้อยกลับไม่พูดอะไรสักคำ ยืนเฉยอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางราวกับเป็นผู้สังเกตการณ์
เสี่ยนเหรินไทเฮาที่ออกว่าราชการหลังม่านประทับอยู่หลังบัลลังก์มังกรพยายามชักจูงให้เขาพูดอะไรบ้าง แต่เขากลับตอบเพียงสั้นๆ
‘กระหม่อมน้อมรับพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ’
แม้ฉู่เซิ่นจะเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี แต่เนื่องจากเขาพักรักษาตัวมาโดยตลอด ทำให้ไม่มีอำนาจในมืออย่างแท้จริง ทว่าบุตรเขยของเขามีอำนาจในโม่เป่ย เสี่ยนเหรินไทเฮาไม่อาจจับความคิดของฮั่วสุยเฟิงได้อย่างชัดเจน จึงเชิญฉู่เซิ่นพร้อมภรรยาและโม่เซี่ยวเหนียงมาเพื่อหยั่งเชิงท่าที
ในเวลานี้เสี่ยนเหรินไทเฮาแสดงท่าทีเศร้าระทมราวกับหญิงม่ายที่กำลังฝากฝังบุตรของตน ฉู่เซิ่นนึกถึงบุญคุณที่รัชทายาทผู้ล่วงลับมีต่อเขา ในใจก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา กำลังจะเอ่ยปากตอบตกลง
แต่โม่เซี่ยวเหนียงกลับกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “ท่านพ่อป่วยมานาน ไม่ได้ทราบความเปลี่ยนแปลงของราชสำนัก และจวิ้นอ๋องเองก็อยู่ในพื้นที่เล็กๆ ที่ห่างไกล ยิ่งไม่ได้รู้สถานการณ์ทางการเมืองที่ซับซ้อน เดิมทีจวิ้นอ๋องเพียงบอกหม่อมฉันว่าให้ทำหน้าที่ต้อนรับฮ่องเต้และไทเฮาอย่างเต็มที่ รวมถึงต้อนรับเหล่าขุนนางที่มาพึ่งพิงในโม่เป่ยอย่างอบอุ่นให้เหมือนอยู่บ้าน วันนี้เมื่อได้ยินพระดำรัสของไทเฮา หม่อมฉันจึงเข้าใจถึงความจำใจของพระองค์หลายประการ หม่อมฉันจึงขออภัยแทนจวิ้นอ๋องที่ไม่ได้ตระหนักถึงพระประสงค์และแบ่งเบาความกังวลของพระองค์ แต่โชคดีที่ในราชสำนักยังมีเหล่าขุนนางอาวุโสผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย จึงมิจำเป็นต้องให้จวิ้นอ๋องซึ่งเป็นเพียงท่านอ๋องจากชายแดนที่ห่างไกลมาเสนอความเห็นให้เสียการใหญ่”
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงเอ่ยเช่นนี้ ฉู่เซิ่นก็เริ่มได้สติกลับมา คนอื่นจะเป็นอย่างไรเขาไม่รู้ แต่ฮั่วสุยเฟิงนายน้อยของเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เล็ก หากนึกถึงเหตุการณ์ในที่ประชุมราชสำนักเมื่อวานนี้ที่ฮั่วสุยเฟิงไม่ได้เอ่ยวาจาใด แสดงว่าอีกฝ่ายย่อมมีความตั้งใจบางอย่างแน่นอน
ตอนนี้เสี่ยนเหรินไทเฮาระบายทุกข์ เขาซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสฟังเอาไว้ก็ดี แต่ไม่ควรรับปากอะไรโดยเด็ดขาด
ดังนั้นขณะที่โม่เซี่ยวเหนียงช่วยขัดจังหวะบทสนทนา ความกระตือรือร้นในใจของฉู่เซิ่นก็เริ่มเยือกเย็นลงเล็กน้อยและไม่ได้ตกปากรับคำอะไร
ความจริงแล้วที่เสี่ยนเหรินไทเฮาแสดงความทุกข์เรียกร้องความเห็นใจในช่วงนี้ก็เพื่อหวังจะดึงฉู่เซิ่นและโม่เซี่ยวเหนียงให้กลับไปโน้มน้าวจวิ้นอ๋อง
แต่คำพูดของฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่นั้นรัดกุมไร้ช่องโหว่ ทำให้เสี่ยนเหรินไทเฮาไม่สามารถพูดอะไรได้อีก และทำได้เพียงรอดูว่าฉู่เซิ่นจะกลับไปโน้มน้าวจวิ้นอ๋องให้ช่วยฮ่องเต้วัยเยาว์ต้านทานแรงกดดันจากสกุลเซียวเมื่ออยู่ในที่ประชุมราชสำนักได้หรือไม่
เมื่อออกมาจากงานเลี้ยง โม่เซี่ยวเหนียงยืนรอรถม้าอยู่หน้าประตูตำหนักแปรพระราชฐาน
ตำหนักนี้เดิมทีคือจวนโม่เป่ยอ๋อง ด้านหน้ามีคลองเล็กๆ ตัดผ่าน เมื่อมีรถม้ามาก เส้นทางจึงดูเล็กแคบและต้องรอสักพัก
ปรากฏว่าการรอครั้งนี้นางได้เห็นเซียวเยวี่ยเหอก้าวลงมาจากรถม้าพอดี
เซียวเยวี่ยเหอจำไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้พบโม่เซี่ยวเหนียง สตรีที่วนเวียนอยู่ในความฝันยังคงงดงามเช่นเคย เพียงแต่รูปร่างที่บอบบางนั้นเห็นหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อย…
ซื่อจื่อใช้ไม้เท้าค้ำยันพลางก้าวลงจากรถม้าอย่างช้าๆ แต่ในใจของเขากลับคิดว่า หากตอนนั้นนางยอมแต่งงานกับข้า เด็กในครรภ์นี้คงเป็นสายเลือดของข้าไปแล้ว