อย่างไรก็ตามที่ปรึกษาสกุลเซิ่งของเซียวเยวี่ยเหอกลับนำสมุดบัญชีเล่มหนึ่งออกมาอย่างไม่รีบร้อน ในนั้นมีบันทึกการติดต่อทางการเงินระหว่างจวนโม่เป่ยอ๋องกับกองเรือของสกุลหง จากบันทึกนี้แสดงให้เห็นว่าจวนโม่เป่ยอ๋องไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง ทั้งยังร่ำรวยถึงขั้นเทียบเท่าความมั่งคั่งของทั้งแคว้นได้
บรรดาขุนนางทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาและเริ่มพูดจาเหน็บแนม
ฮั่วสุยเฟิงกลับตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “ที่ปรึกษาที่ใต้เท้าเซียวเชิญมาผู้นี้ช่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่งนัก แม้แต่คนทำบัญชีของข้ายังบันทึกได้ไม่ชัดเจนเท่านี้ แต่ขอให้ท่านเซิ่งเข้าใจด้วยว่าข้าไม่เคยทำการค้า เพียงแต่ภรรยาเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ นางใช้สินเดิมของตนเองร่วมลงทุนทำกิจการร้านค้ากับสกุลหง นางจะได้กำไรหรือขาดทุนข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยว ดูจากบัญชีของท่านเซิ่งแล้ว ภรรยาข้าคงได้กำไร แต่การริบสินเดิมของภรรยาและบุตรสาวนั้นข้าไม่อาจทำได้…ท่านเซิ่ง ดูจากลักษณะท่าทางของท่านแล้วคงมิใช่คนที่พึ่งพาสตรี ข้าขอแนะนำว่าต่อไปอย่าได้ทำเช่นนี้เด็ดขาด มิฉะนั้น…จะหาสตรีมาแต่งงานด้วยไม่ได้!”
ทันทีที่คำพูดนี้จบลงท่านเซิ่งที่ยังหนุ่มแน่นผู้นั้นกลับมีสีหน้าไม่สู้ดี มีคนในเล่าลือกันว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน และเขาก็เหมือนจะมีอนุเพียงหนึ่งคน แต่ภายหลังนางหนีไปกับผู้อื่นแล้ว เขาจึงอยู่ตัวคนเดียวและไม่คิดจะแต่งภรรยาด้วย
หลังจากกล่าวเช่นนั้นฮั่วสุยเฟิงก็ไม่ไว้หน้าใครอีก พูดเพียงว่าจะกินอาหารแล้ว ที่จวนมีเพียงน้ำแกงหัวไช้เท้า จะไม่รั้งทุกคนไว้ ดังนั้นจึงไล่พวกเขาออกไปทั้งหมด
โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกว่าฮั่วสุยเฟิงทำตัวเหมือนคนตระหนี่ถี่เหนียว ตอนที่ทั้งสองเดินเล่นในลานบ้าน นางจึงกล่าวถึงเรื่องนี้
“แค่ขอเงินเท่านั้น จะให้มากให้น้อยพวกเราก็เป็นคนตัดสินใจเอง จะปล่อยให้ฮ่องเต้เสด็จโดยที่พวกเราไม่ให้เงินสักนิดได้อย่างไร ถึงอย่างไรก็ต้องให้ไปบ้าง ทุกคนจะได้มองพวกเราดีขึ้น…แล้วเสื้อตัวนั้นข้าบอกให้เจ้าทิ้งไปนานแล้ว เหตุใดเจ้ายังเอามาใส่อีก”
โม่เซี่ยวเหนียงเคยทำงานเป็นผู้จัดการดาราจนเคยชิน ทุกเรื่องต้องรักษาน้ำใจของทั้งสองฝ่ายไว้บ้าง เช่นนี้ในวันหน้าหากทำอะไรจะได้มีทางหนีทีไล่ให้ประนีประนอม
แต่ฮั่วสุยเฟิงกลับจ้องมองนางแล้วกล่าวว่า “เสื้อผ้าที่เจ้าทำเองกับมือข้าเคยทิ้งสักตัวหรือ โชคดีที่วันนี้ใส่มัน จึงทำตัวน่าสงสารได้พอดี หากไทเฮาทรงส่งคนมา ข้าย่อมต้องให้เกียรติ แต่วันนี้พวกที่มาตอนเช้ามันตัวอะไรกันเล่า ใครจะไปไว้หน้า!”
โม่เซี่ยวเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่ากลุ่มคนที่มาขอเงินวันนี้จับคู่กันผิดจริงๆ เซียวเยวี่ยเหอกับฮั่วสุยเฟิงปกติคุยกันไม่ถูกคอ ไม่พูดกันมากกว่าครึ่งประโยค ส่วนเซิ่งเซวียนหากพูดตามตรงเขาเคยเป็นคนรักเก่าของนาง การที่ตั้งหน้าตั้งตามาขอเงินจากฮั่วสุยเฟิงผู้มีนิสัยชอบหึงหวงผู้นี้ หากได้เงินไปก็แปลกแล้ว
เสียแรงที่สองคนนี้เป็นคนฉลาดแท้ๆ แต่เหตุใดถึงทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ได้
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงถามถึงประเด็นนี้ ฮั่วสุยเฟิงกลับแค่นเสียงเย็นชาแล้วตอบว่า “การมาขอเงินนั้นเป็นข้ออ้าง ที่จริงแล้วมาหาคนต่างหาก พวกเขานำสมุดบัญชีนี้ออกมา ที่มีทั้งทรัพย์สินของจวนโม่เป่ยอ๋อง มีทั้งทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้า เดิมทีเพราะต้องการเผชิญหน้ากับเจ้า”
การตรวจสอบบัญชีเป็นงานที่ละเอียด หากโม่เซี่ยวเหนียงยอมออกมาก็คงต้องเสียเวลาโต้ตอบกับพวกเขาไม่ต่ำกว่าครึ่งค่อนวัน และดวงตาสุนัขสองคู่ก็คงจะได้เห็นคนในฝันที่หลบซ่อนอยู่ในจวนโม่เป่ยอ๋องสมใจ
พอคิดถึงตรงนี้ฮั่วสุยเฟิงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ภรรยาข้าท้องโตแล้วแท้ๆ แต่ยังดึงดูดผึ้งล่อผีเสื้ออยู่ รูปลักษณ์ที่ส่งเสริมความรักเช่นนี้ควรแก้อย่างไรดี