ฝ่ายภัทรยศไม่สะทกสะท้านต่อแววตาน่ากลัวแม้แต่น้อยทั้งยังขยับไปใกล้ดุสิตาเช่นกัน เขาจงใจใช้รูปร่างสูงหนาข่มขวัญ จ้องกลับด้วยสายตาดุดันชนิดต่อให้เป็นเพื่อนผู้ชายตัวสูสีกับเขาก็ต้องยอมถอย
แต่ดุสิตากลับไม่ยอมเขยื้อนหนีแม้แต่น้อย แถมใบหน้าคมงามยังแหงนเชิด ดวงตาสวยแปลกเต็มไปด้วยแววตาเหมือนนางเสือร้ายที่พร้อมสู้เขายิบตา
แล้วในชั่ววินาทีที่รู้ว่าการปะทะกันหนนี้ดุสิตาจะสู้ตาย มุมปากข้างหนึ่งของภัทรยศจึงยกสูง…เปล่า เขาไม่ได้ยิ้มเหยียด แต่ยิ้มเพราะสนุกที่กำลังจะได้ยั่วโมโห ปั่นหัวให้ดุสิตากลายเป็นตัวตลกในสายตาทุกคน เขาจะต้องสั่งสอนรุ่นน้องจอมแสบตรงหน้าให้จดจำเสียทีว่าอย่าได้บังอาจก่อปัญหาและอย่าได้ริปีนเกลียวกับรุ่นพี่อีก
“มีถึงสองเม็ดมั้ยโป้ย” ภัทรยศถามชโลธรที่ไม่อยากร่วมศึกระหว่างเด็กปีหนึ่งกับรุ่นพี่ปีสี่ ผิดกับยุทธนาที่อยากกระโดดร่วมวงด้วยเต็มที่เพราะเหม็นหน้าดุสิตาเป็นทุนเดิม
“เอาทำไมตั้งสองเม็ดวะไอ้ริ้ว จะกินเองเม็ดนึงแล้วให้น้องเค้ากินแก้ปากเสียเม็ดนึงหรือไง” ยุทธนาช่วยเปิดสังเวียน ภัทรยศตอบเสียงดัง
“ใครว่ากินเอง กูอยากให้น้องเค้ากินทั้งสองเม็ดต่างหากจะได้เลิกปีนเกลียวปากกล้ากับรุ่นพี่สักที”
“อ้อ พอรุ่นน้องพูดไม่ดีกับรุ่นพี่เรียกปีนเกลียว แล้วที่รุ่นพี่วิจารณ์รุ่นน้องเสียๆ หายๆ เรียกอะไรคะ”
“วิจารณ์เสียหายตรงไหน ของไม่อร่อยก็บอกไม่อร่อย ต้องให้บอกอร่อยหรือไง”
“ไม่จริง พี่รุทธ์ชิมแล้วยังบอกเลยว่าขนมของนิ้งอร่อย”
ดุสิตาค้านหัวชนฝา เธอกับภัทรยศมองไปยังบุคคลที่โดนกล่าวอ้างพร้อมกัน ครั้นรุทธ์อึกอัก ภัทรยศก็ทำหน้าทำตากวนชวนโมโห
“โถๆ แม่คุณ พี่รุทธ์เค้าเป็นผู้ดี เป็นคนสุภาพ พูดเพื่อรักษามารยาทหรอก ไม่รู้ตัวหรือไง”
“งั้นพี่จุ้ยเป็นคนเถื่อนงั้นสิ ถึงกินของนิ้งแล้วไม่อร่อย พวกลิ้นไม่ถึง ไม่มีรสนิยม”
รุ่นน้องคนเดียวในบริเวณนั้นเหยียดเยาะใส่ภัทรยศท่ามกลางพวกรุ่นพี่ทุกชั้นปีที่เริ่มซุบซิบแอบพนันกันว่างานนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ
“งั้นคนแถวนี้คงไร้รสนิยมกันหมด เพราะไม่มีใครบอกอร่อยสักคน”
“ไม่จริง!” ดุสิตาไม่ยอมเชื่อง่ายๆ เพราะตอนมาแจกขนม รุ่นพี่บางคนยังชมฝีมือเธออยู่เลย ภัทรยศมองไปรอบๆ และเขาเห็นแต่ละคนออกอาการเดียวกันกับรุทธ์ ซึ่งดุสิตาเห็นเช่นกัน
“อุ๊บส์” ภัทรยศยกมือปิดปาก อุทานเป็นภาษาอังกฤษ “ท่าทางจะเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะน้องจ๋า ยอมรับเถอะเนอะว่าขนมเรามันห่วย”
ภัทรยศยื่นหน้าพูดคำว่า ‘ห่วย‘ ใส่ดวงหน้าคมที่แดงจัดด้วยความอับอายหลังถูกด่าประจานราวขนมของตนคือของสกปรกน่ารังเกียจทั้งที่เธอตั้งใจทำมาให้ทุกคนกิน ตัวของหญิงสาวสั่นเทิ้ม ความคับแค้นอัดแน่นจนพุ่งระเบิดออกมา
“ไอ้พี่จุ้ยบ้า! ไอ้คนลำเอียง! เรื่องอะไรมาหาว่าขนมนิ้งห่วย ตัวพี่เองนั่นแหละที่ห่วย ไม่ใช่ขนมนิ้ง”
ประโยคนั้นทำเอาคนรอบๆ ครางฮือ ด้วยไม่นึกว่าเฟรชชี่ปีหนึ่งจะหาญกล้าด่าทอผู้ไม่ใช่แค่ตัวใหญ่ แต่ยังใหญ่คับมหาวิทยาลัย ขณะภัทรยศไม่ได้สนใจต่อคำด่าแม้แต่น้อยเพราะเอะใจบางอย่างมากกว่า
คิ้วเหนือดวงตาดุขมวดย่นแป๊บเดียวค่อยคลายออก ภัทรยศเหยียดริมฝีปาก
“เดี๋ยวลำเอียง เดี๋ยวไม่ยุติธรรม เป็นอะไรมากเปล่าน้อง อาทิตย์ก่อนพี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าอยากได้ความยุติธรรมให้ไปคณะนิติฯ หรือถ้ายังไม่เจอก็ไปโน่นเลย ศาลไคฟงของเปาบุ้นจิ้น”
ภัทรยศพูดกวน ดุสิตาสวนเร็ว
“นิ้งอยากไปหาเปาบุ้นจิ้นเหมือนกันแหละค่ะ จะได้ใช้เครื่องประหารหัวสุนัขประหารคนบางคน เสียดายแถวนี้ไม่มี ไม่งั้นคงได้ใช้แล้ว”
“ทำไมจะไม่มี ในปากเราก็มีอยู่ตัวนึงนั่นไง ไม่คายออกมาล่ะจะได้เอามาทำเครื่องประหาร”
“บ้า! เรื่องอะไรมาหาว่านิ้งปากหมา”
“อ้าว ตอนแรกนึกว่ามีตัวเดียว ที่ไหนได้มีตั้งหลายตัว ดีเลย จะได้ทำเครื่องประหารหลายๆ เครื่อง”
“ในปากพี่จุ้ยนั่นแหละที่มีหมา ไม่ใช่ปากนิ้ง”
กางเล็บข้างที่ไม่ได้ถือหนังสือ ดุสิตานึกในใจว่าหากภัทรยศพูดอะไรออกมาอีกคำเดียว อีกแค่คำเดียวเท่านั้นล่ะ เธอจะตะกุยหน้าเขาให้เละ แต่ลงท้ายเธอไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะมีร่างสูงยืนขึ้นและพูดขัดเสียก่อน
“พอเถอะจุ้ย คนมองหมดแล้ว อีกอย่างนายเป็นรุ่นพี่จะต่อปากต่อคำกับรุ่นน้องทำไม เสียชื่อเปล่าๆ”
รุทธ์เอ่ย ภัทรยศเหลือบมองเพื่อนแวบหนึ่ง ขณะยุทธนาทำมือทำไม้ส่งสัญญาณไม่ให้สนใจเพราะคนดูอย่างเขากำลังสนุก
“นั่นสิ พอเหอะจุ้ย” คราวนี้ชโลธรช่วยพูดอีกคน เธอลุกจากโต๊ะไปหาดุสิตาที่ยืนตัวสั่นเทิ้มแล้วกระแอมเบาๆ “นิ้งไปห้องน้ำเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”
ชโลธรไม่รอคำตอบ เธอออกแรงดึงแขนรุ่นน้องจนทั้งคู่ห่างออกไปแล้วดุสิตาหันขวับมาฝากแววตาอาฆาต ภัทรยศก็ยักไหล่ท่ามกลางเสียงร้องเฮของพวกที่พนันฝ่ายเขา แต่พอนั่งลงเสียงหัวเราะชอบใจของยุทธนาที่กำลังชูนิ้วโป้งกลับทำให้ภัทรยศเริ่มรู้สึกแปลกจนต้องมองไปรอบๆ
กระทั่งพบว่าไม่ใช่เพียงยุทธนาที่หัวเราะแต่ยังมีอีกหลายคน ภัทรยศจึงชักไม่แน่ใจว่าที่ตั้งใจทำให้รุ่นน้องตัวแสบกลายเป็นตัวตลก สุดท้ายแล้วเขาเองกลับต้องกลายเป็นตัวตลกของเพื่อนและรุ่นน้องในคณะด้วยหรือเปล่า