“ยังไม่รู้เลย แต่คงต้องลองหาวิธีให้ได้เจอหน้าเขาก่อน อย่างน้อยก็ให้มั่นใจจริงๆ ว่าเขาจำอะไรไม่ได้เลย”
ฉันตอบ ใจนึกย้อนไล่เรียงไปถึงความทรงจำที่เพิ่งได้รับมาใหม่สดๆ ร้อนๆ แต่ก็พบว่าฉันไม่เคยพบกับเมทิตย์เป็นการส่วนตัวเลย และฉันเองก็ไม่เคยพบกับผู้ชายที่อยู่ข้างห้องด้วย ถึงแม้ว่าฉันจะเอ่ยปากบอกชวินไปอย่างมั่นใจ แต่ความจริงแล้วเพื่อนข้างห้องอาจจะเป็นแค่ใครสักคนที่บังเอิญเลือกป้ายหน้าห้องแบบเดียวกันกับเมทิตย์ก็ได้
“เดี๋ยวจะลองช่วยคิดวิธีดู”
ชวินพูดพร้อมก้มหน้าพิมพ์หาอะไรเรื่อยเปื่อยในคอมพิวเตอร์ ส่วนฉันนั่งเท้าคางมองออกไปยังนอกหน้าต่าง สายตาไล่กวาดไปตามสิ่งปลูกสร้างรอบด้านอย่างติดนิสัย
“นี่ๆๆ แกลองดูนี่สิ”
ชวินพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ดึงความสนใจของฉันกลับมาอยู่ที่เรื่องตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหันคอมพิวเตอร์พกพามาให้ดู ฉันกวาดสายตามองอย่างสนใจ
“เมทิตย์ The first exclusive meeting sponsored by SET”
ฉันอ่านชื่อโปสเตอร์ในแอพพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียอย่างงงๆ ตรงมุมมีตราสัญลักษณ์วงกลมหยินหยางสีส้ม ขาว และดำที่ฉันไม่รู้จัก
“เห็นบอกว่ากิจกรรมในงานให้ขอลายเซ็นและพูดคุยตัวต่อตัวเป็นเวลาแปดวินาที” ชวินพูดต่อ “ถ้ามีโอกาสได้เจอหน้ากันจังๆ แกก็จะได้รู้ว่าเขาจำแกได้บ้างหรือเปล่า”
“อือ” ฉันรับคำในลำคอ “งานอะไรวะ ปกติเขาเกลียดพวกงานมีตติ้งอะไรแบบนี้จะตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมรับงานแบบนี้ด้วย”
“แกไม่รู้จัก SET เหรอ”
“หึ” ฉันส่ายหน้าเบาๆ
“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไง” ชวินเสริม “ได้ข่าวว่าละครฟอร์มยักษ์ที่เมทิตย์จะได้เล่นต้นปีหน้าเกี่ยวกับหุ้น มีสปอนเซอร์ใหม่เป็นตลาดหลักทรัพย์ เห็นว่านี่ก็ได้เป็นพรีเซนเตอร์คนแรกของตลาดหลักทรัพย์ด้วยนะ เงินคงหนาแหละ เลยยอมรับงาน”
“อือ ก็อาจจะใช่มั้ง”
ฉันตอบไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ลึกๆ แล้วฉันเองก็ไม่มั่นใจว่าตัวเขาที่ฉันเคยรู้จักกับตัวเขาในตอนนี้จะยังเป็นคนเดิมเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า เขาอาจจะกลายเป็นใครก็ได้ที่ฉันอาจจะไม่รู้จักเลย
“หรือว่าฉันควรจะปล่อยเขาไปดีวะ” ฉันรำพึงออกมาอย่างไม่มั่นใจ
“อะไรว้า” ชวินทำหน้ามุ่ย “ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงอย่างที่แกบอก แกก็ควรจะลองดูสักตั้งก่อนหรือเปล่าวะ คบกันมาตั้งสิบปีนะเว้ย จะปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ”
“แต่ตอนนี้เหลือศูนย์ปีแล้ว” ฉันส่งเสียงในลำคออย่างอึดอัด “ไม่มีสถานะเป็นแฟนเก่าด้วยซ้ำ เพราะในความทรงจำของเขาคงไม่มีอะไรเหลือเลย”
“เป็นแฟนเก่าไม่ได้ก็เอามาเป็นแฟนใหม่เลยสิ”
ชวินพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ หันคอมพิวเตอร์กลับไปและง่วนพิมพ์อะไรไม่หยุด ฉันมองเพื่อนสนิทคนเดียวที่เหลือมาจากมหาวิทยาลัย และอาจจะเป็นเพราะทำงานที่เดียวกันด้วย ชวินจึงเป็นเหมือนที่พึ่งเดียวที่ฉันมี
“แกนี่มองโลกในแง่ดีจัง”
“ก็ถ้าเลือกได้จะมองโลกให้มันร้ายไปทำไมล่ะ”
อีกฝ่ายตอบมาอย่างขำๆ ฉันถึงกับเผลอยิ้มออกมา ตลกดี ชวินดูมีทีท่ากระตือรือร้นเรื่องเมทิตย์ยิ่งกว่าฉันเสียอีก
“เดี๋ยวจัดการเรื่องตั๋วมีตติ้งให้ ส่วนแกก็ไปนั่งทำตัวสวยๆ รอทำภารกิจ”
ชวินปิดคอมพิวเตอร์อย่างมั่นใจ ความจริงบัตรมีตติ้งดาราดังแบบนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะหามาได้ แต่ท่าทางอีกฝ่ายมั่นใจจนฉันไม่อยากจะตั้งคำถามว่าอะไรหรือใครช่างทำให้ชวินมั่นใจได้ขนาดนั้น บางทีพรวิเศษนี่ก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก ฉันสูญเสียคนรักไป แต่ก็ได้เพื่อนสนิทคนหนึ่งมาแทน
“ภารกิจอะไรของแกวะ”
ฉันถามแบบติดตลก ก่อนจะยกมือเรียกบริกรมาคิดเงินค่าอาหารและเครื่องดื่ม ชวินยิ้มร่าเริงเหมือนกับเด็กๆ จนกระทั่งพนักงานหยิบบัตรเครดิตไปรูดเงินจึงยอมเฉลย
“ภารกิจทวงคืนแฟนใหม่!”