2)
ฉันขับรถเถลไถลออกนอกเมืองไปเสียไกล
ความจริงคอนโดฯ ที่ฉันอยู่ห่างจากสยามสแควร์ไม่มากนัก ตอนที่นัดลูกค้าพร้อมชวิน ถ้านั่งรถไฟฟ้าไปได้ก็จะสะดวกมาก แต่ติดเรื่องคอมพิวเตอร์และโมเดลจำลองที่ต้องการให้ลูกค้าได้ดู ฉันจึงต้องเอารถส่วนตัวไป หลังจากทำงานเสร็จและคุยกับชวินเรียบร้อย ฉันก็ไม่ค่อยมีอารมณ์กลับห้องเท่าไหร่นัก ขณะที่ขับรถผ่านหน้าคอนโดฯ เท้าของฉันก็เหยียบเลยตรงขึ้นสะพานพระรามแปดไป
ฉันชอบขับรถดูบ้านเมือง
ตั้งแต่ก่อนจะได้เป็นสถาปนิก กิจกรรมที่ฉันชอบก็คือการดูตึกดูอาคารอยู่แล้ว ยิ่งได้มาเป็นสถาปนิกก็ยิ่งแล้วใหญ่ ฉันชอบขับรถวนไปดูบ้านเรือนต่างๆ พักผ่อนหย่อนใจส่วนหนึ่ง หาแรงบันดาลใจในการทำงานด้วยส่วนหนึ่ง และนั่นดูเหมือนจะเป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดีทีเดียว
ฉันขับรถวนแถวเสาชิงช้าเสียหลายรอบ
ไม่ได้จอดหรือมีเป้าหมายจะแวะที่ไหนเป็นพิเศษ ฉันขับรถไปดูย่านที่มีผู้คนคึกคักอย่างประตูผี ร้านผัดไทยที่มีคนต่อคิวจนแน่นหน้าร้าน ร้านโรตีที่เปิดเกือบโต้รุ่ง ร้านข้าวต้มกลางคืน ตึกรามบ้านช่องที่มีเอกลักษณ์แบบโบราณดั้งเดิม ฉันขับรถผ่านไปทีละหลังๆ อย่างเชื่องช้า ราวกับจะได้เติมเต็มพลังบางอย่างให้ชีวิต
เกือบตีสองที่ฉันขับรถวนเข้ามาจอดในอาคารจอดรถของโครงการ
ฉันจอดรถนั่งฟังเพลงแถวสวนสันติชัยปราการเสียนาน ชั่วโมงหรือหลายชั่วโมง ฉันก็จำได้ไม่ละเอียดนัก ชีวิตที่ขาดเมทิตย์ไปเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกสูบลมออกไปจนหมด ฉันเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าชีวิตที่ผ่านมายึดติดเขาไว้เป็นคำว่าความสุขของฉันมากแค่ไหน
“ไปด้วยค่ะ”
ฉันตะโกนเสียงไม่เบานัก ขณะที่เปิดประตูเข้าไปตรงบริเวณโถงที่เชื่อมกับลานจอดรถและเห็นว่าลิฟต์กำลังจะปิดพอดี ฉันกระหืดกระหอบแบกของพะรุงพะรังวิ่งตรงเข้าไปในลิฟต์ คนที่เข้าไปก่อนไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่กดปุ่มเปิดประตูค้างไว้เงียบๆ ฉันเอ่ยปากขอบคุณ ขณะที่ลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง
“ขอบคุณนะคะ”
ฉันถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าทันเวลาพอดี อีกฝ่ายไม่ได้ตอบแต่พยักหน้ารับเงียบๆ ฉันกำลังจะหันไปกดชั้นที่ตัวเองอยู่ แต่พอเห็นว่าไฟตัวเลขที่สว่างอยู่เป็นชั้นเดียวกัน และหันไปมองคนที่ยืนอยู่ หัวใจก็แทบหยุดเต้น
เมทิตย์…
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะใส่หมวกและหน้ากากอนามัยจนแทบจะไม่เหลือส่วนไหนของใบหน้าให้เห็นได้เลย แต่เขาก็คือเขา ต่อให้เห็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของเขา ฉันก็จำได้ เขายืนนิ่งๆ อยู่อีกมุมหนึ่งของลิฟต์ ไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหันมา ส่วนฉันก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองกระเซอะกระเซิงมากแค่ไหน เครื่องสำอางบนใบหน้าคงจะหมดสภาพไปตามเวลาแล้ว
เสียงลิฟต์ร้องเบาๆ ก่อนประตูจะเปิดออก
เมทิตย์กดเปิดลิฟต์ค้างไว้ รอให้ฉันเดินออกไปก่อน เมื่อเดินออกมาก็ยืนละล้าละลังอย่างคุ้นเคย เพราะปกติเขาจะเป็นคนหยิบกุญแจมาเปิดห้องให้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว ฉันก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเองเบาๆ ทำอย่างไรก็ไม่ชินเสียที
“ขอบคุณนะคะ”
“ครับ”
เขาตอบออกมาเพียงสั้นๆ ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินจากไป อย่างน้อยเขาก็ตอบ ใจหนึ่งฉันเองก็เสียดายที่ไม่ได้เจอเขาในตอนที่พร้อมกว่านี้ แต่ก็คิดได้ว่าเขาคงไม่ได้สนใจจะจดจำผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งหรอก ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะเจอคนที่อยู่ข้างห้องไปนานแล้ว
ฉันวางของลงกับพื้นและค้นหากุญแจมาไขห้อง
แกล้งรื้อของในกระเป๋าเพื่อยื้อเวลา อย่างน้อยก็เพื่อให้มั่นใจว่าเมทิตย์ยังอยู่ข้างห้องของฉันแน่ๆ เขาเดินมานิ่งๆ เลยฉันไป แล้วหยิบกุญแจออกมาจากช่องเก็บเศษเหรียญในกระเป๋าสตางค์ เขายังคงเก็บกุญแจไว้ที่เดิมไม่เปลี่ยน ถึงแม้ว่าวันนี้ชีวิตเขาจะไม่มีฉันเหมือนเดิมแล้ว
ฉันหันไปยิ้มให้แต่เขาไม่ได้หันมา