3)
“พร้อมหรือยังสำหรับภารกิจทวงคืนแฟนใหม่”
เสียงนุ่มของชวินพูดอย่างระริกระรี้ เจ้าตัวเดินโบกมือสลอนมาแต่ไกล ฉันที่นั่งรออยู่ในร้านกาแฟที่อยู่ไม่ห่างจากตึกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเท่าไหร่นักมองอย่างนึกตลก ในขณะที่ฉันใจฝ่อแทบตาย เพื่อนร่วมขบวนการที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวกลับกระดี๊กระด๊าเสียเต็มประดา
“ตกลงนี่แฟนใหม่แกหรือแฟนใหม่ฉัน ฮึ” ฉันเอ่ยรับเป็นประโยคแรก “นี่แกเห็นเรื่องดราม่าชีวิตฉันเป็นเรื่องสนุกหรือเปล่าเนี่ย”
“โห ปาก คนอุตส่าห์ช่วย ฉันไปนอนคิดแผนการให้แกมาทั้งคืน รับประกันว่าภารกิจนี้แกได้ประชิดตัวเขาแน่” ชวินหยิบส้อมมาจิ้มเค้กบนโต๊ะไปกินเสี้ยวหนึ่ง “แต่จะเอาเขากลับมาได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับมารยาหญิงของแกแล้วแหละ”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ใช่สิ” อีกฝ่ายรับ “บัตรมีตติ้งนี่ก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ ฉันยังหามาให้แกได้เลย”
ชวินพูดพร้อมกับยื่นบัตรมีตติ้งที่มีรูปโลโก้หยินหยางเด่นหราบนบัตรมาให้ หลังจากนั้นจึงหยิบกระเป๋ามาเปิด และคว้าหนังสืออีกเล่มส่งมาให้พร้อมกัน ฉันหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดดูอย่างสนใจ หนังสือโฟโต้บุ๊กของเมทิตย์ ถ่ายกับตึกเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่ตัวเมืองภูเก็ต ฉันยังจำตอนไปถ่ายได้ เพราะตอนนั้นเราลงไปใช้ช่วงวันหยุดยาวด้วยกันที่รีสอร์ตอีกฟากหนึ่งของเกาะแบบลับๆ
“ต้องใช้โฟโต้บุ๊กเซ็นเหรอ”
ฉันถามไปอย่างเจตนากลบเกลื่อน เพราะสิ่งของตรงหน้าทำให้ความทรงจำครั้งเก่ารื้อฟื้นขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันแกล้งเปิดดูไปทีละหน้าอย่างสนใจ แต่ความจริงคือพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ชวินรีบตอบกลับมา เสียงนั้นยังเริงรื่น คงยังจับความรู้สึกของฉันไม่ได้
“เปล่าหรอก อะไรก็ได้ แต่ฉันเห็นว่าโฟโต้บุ๊กเล่มนี้หายากแล้วก็ราคาแพง ถ้าแกเอาไปให้เขาเซ็น เขาน่าจะสนใจแกเป็นพิเศษ”
ฉันพยักหน้ารับ
“เอ้อ ฉันไปด้วยไม่ได้นะ งานให้เข้าได้แค่หนึ่งคนต่อบัตรหนึ่งใบ อีกอย่าง ฉันต้องใช้ลูกเล่นหลายอย่างเพื่อให้ได้บัตรมา คนในงานไม่ควรเห็นฉันอยู่กับแก”
ฉันพยักหน้ารับอีกครั้ง ตอนนี้เริ่มจะควบคุมอารมณ์ได้ดีมากขึ้นแล้ว
“แกจะให้ฉันอยู่รอแล้วกลับพร้อมกันหรือเปล่า” คนตรงหน้าถาม
“ไม่ต้องหรอก แกจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ไว้เดี๋ยวโทรไปเล่าให้ฟังแล้วกัน”
พูดคุยกันอีกเล็กน้อย ฉันก็แยกกับชวิน สูดลมหายใจลึก คว้าบัตรมีตติ้งและโฟโต้บุ๊กเดินไปยังตึกสูงที่ใช้จัดงานที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก อาคารมีระบบรักษาความปลอดภัยดีมาก คนที่ไม่มีบัตรมีตติ้งเข้าไปข้างในไม่ได้เลย และทุกคนต้องแลกบัตร ฉันตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่เห็นกองทัพแฟนคลับมาออกันอยู่หน้าตึกหลักร้อยคน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันมาตามเมทิตย์เหมือนตามศิลปินคนหนึ่ง สมัยที่คบกันอยู่ ฉันอยู่ห่างจากโลกความเป็นดาราของเขามากพอสมควร
“คนที่เจ็ดรอบที่สามนะคะ” ทีมงานผู้จัดพูดกับฉันอย่างยิ้มแย้ม “บัตรหนึ่งใบมีเวลาแปดวินาทีในการพูดคุยกับศิลปินนะคะ ทีมงานที่อยู่ด้วยในห้องจะเริ่มจับเวลาหลังเซ็นเสร็จ ห้ามจับตัวและถ่ายรูปศิลปินนะคะ ส่วนกระเป๋าสะพายและสัมภาระต้องฝากไว้ด้านนอก มีอะไรสงสัยไหมคะ”
“ไม่มีค่ะ”
ฉันตอบพร้อมกับใจที่เต้นตึกตัก ย้ายตัวเองมานั่งรอตามลำดับรายชื่อที่เตรียมจะเข้าไปพบเขา ดูแล้วฉันเองก็ไม่ได้อายุมากเกินไปเท่าไหร่สำหรับการมาติดตามเขา เท่าที่ดู คนที่อายุเกินสามสิบปีก็น่าจะมีอยู่พอสมควร ฉันนั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกเรียกเมื่อถึงคิว ฉันสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเข้าห้องขนาดเล็กไป
“สวัสดีครับ”
เมทิตย์นั่งอยู่ที่นั่น โต๊ะสีขาวตัวยาวที่กั้นให้แฟนคลับอยู่อีกฝั่ง ตรงมุมห้องมีพนักงานหญิงยืนเฝ้าอยู่เงียบๆ คนหนึ่ง ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งมีอยู่ตัวเดียวพร้อมกับยื่นโฟโต้บุ๊กที่เตรียมมาส่งให้เขา
“สวัสดีค่ะ”
ฉันตอบ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเมื่อเจอเขาเข้าจริงๆ ความตื่นเต้นก่อนหน้ากลับมลายหายไปจนหมดสิ้น เหมือนได้กลับไปเจอเขาอีกครั้ง เด็กผู้ชายท่าทางขี้อายที่มายืนดักรอชวนฉันคุยหน้าห้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ รอยยิ้มจางๆ ของเขายังเป็นสิ่งที่เคยคุ้น
“เซ็นลงโฟโต้บุ๊กเลยนะครับ”
“ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”