“เคยเล่นค่ะ แต่ตอนนี้หันมาเล่นหุ้นแทนแล้ว”
ฉันพูดอย่างอารมณ์ดี ส่วนเขาก็ขอโทษที่ขัดจังหวะและบอกให้ฉันพูดต่อได้เลย เขาอาจจะไม่รู้ แต่สำหรับฉัน นั่นทำให้ฉันมีความสุขอยู่ไม่น้อย ระยะห่างระหว่างเรากำลังน้อยลง
“แต่ในระยะยาวแล้วเหมือนความภาคภูมิใจมั้งคะ เหมือนการได้เกรดดีๆ แต่ไม่ใช่หมายถึงตอนเกรดออกนะคะ หมายถึงตอนนึกย้อนกลับไปไกลๆ” ฉันเล่า “ความจริงก็เหมือนเกรดเฉลี่ยตอนเรียนเหมือนกันนะคะ ถ้าเราได้เกรดดีก็ดีใจ แต่การดีใจแบบที่รู้เกรดตอนแรกก็จะแบบหนึ่ง แต่การดีใจหลังจากเวลาผ่านไปแล้วพักใหญ่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ฉันว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแหละค่ะ”
“โอ้ ขอบคุณมากเลยครับ เข้าใจขึ้นเยอะเลย” เขาพูด
“ถ้าพอจะช่วยอะไรคุณได้ก็ยินดีค่ะ”
“พูดแบบนี้แล้วเหมือนความรักเลยนะครับ” อยู่ดีๆ เขาก็พูดต่ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เหมือนบทสนทนาพาไปอย่างไม่รู้ตัว “ช่วงแรกๆ ก็จะเขินๆ กันหน่อย แต่พอนานๆ ไปก็เป็นความอบอุ่น อยู่กันแบบสบายๆ เหมือนเป็นความอิ่มเอมใจอะไรแบบนั้นหรือเปล่าครับ” เขาพูดเหมือนชวนคุยมากกว่าจะหาคำตอบ
“ไม่รู้สิคะ” ฉันจงใจแกล้งลืมเวลาสิบปีที่คบกับเขาไปเสียก่อน “การมีแฟนก็เหมือนกาชาปองหรือไม่ก็ฟุตบอลสำหรับฉันค่ะ”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว”
คราวนี้เป็นเสียงของเขาที่ดูจะจริงจังขึ้นกว่าทุกครั้ง แต่พอการพูดคุยดำเนินมาถึงตอนนี้ ฉันก็รู้สึกประหลาดในหัวใจเหลือเกิน มุมหนึ่งก็แอบดีใจที่เขาสนใจเรื่องความรักของฉัน แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นก็พิสูจน์ชัดว่าเขาไม่เหลือความทรงจำอะไรเกี่ยวกับฉันเลย
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงคณะฉันไปแล้วมั้งคะ เรียนหนัก งานเยอะ ตอนเรียนก็ไม่ค่อยได้เจอใครนอกจากเพื่อนในคณะ ถ้าไม่ถูกใจและคบกันเอง ส่วนใหญ่ก็รอขึ้นคานกันหมดแหละค่ะ คณะนี้ขึ้นชื่อเรื่องหาแฟนยาก”
ฉันจงใจเล่าแบบใส่สีตีไข่นิดหน่อย เพื่อที่จะให้เขาไม่รู้สึกผิดที่ถาม ในขณะเดียวกันก็ให้ดูเหมือนฉันไม่ได้นำเสนอความโสดของตัวเองมากเกินไป
“อ้าว แล้วพอมาทำงานไม่เจอใครบ้างเหรอครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงสงสัยจริงๆ
“งานหลักของฉันคือออกแบบบ้านค่ะ ลูกค้าส่วนใหญ่มีลูกมีเมียกันแล้วทั้งนั้น ไม่ก็กำลังสร้างเรือนหอ ตั้งแต่ทำงานมาฉันยังไม่เคยเจอลูกค้าที่เป็นโสดสักคน” ฉันพูดพร้อมหัวเราะ
“โอ้โห ผมเพิ่งรู้นะครับเนี่ย น่าสนใจจัง” น้ำเสียงของเขาสนใจจริงๆ
“คงไม่ได้หาง่ายแบบอาชีพดาราหรอกค่ะ เจอคนเยอะ มีสังคมใหม่ๆ ตลอด” ฉันพูดกลับไปบ้าง
“ไม่หรอกครับ” เขาปฏิเสธ “อาชีพดาราเจอคนเยอะก็จริงครับ แต่ไม่ค่อยได้สนิทกับใครจริงจังหรอก อย่างกองถ่าย ถ่ายกันได้ไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนกองใหม่ เจอกันไม่นาน ยิ่งงานโฆษณาหรืออีเวนต์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ เจอกันไม่กี่ชั่วโมงก็แยกย้ายแล้ว สังคมเพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยมีหรอกครับ งานเยอะ งานไม่เป็นเวลา ใครเขานัดเจอกันก็ไม่ค่อยได้ไป ทำงานเก็บเงินอย่างเดียว”
ฉันตอบอะไรไปอีกอย่างสองอย่างตามมารยาทและถ้อยคำจะพาไป ชีวิตของซูเปอร์สตาร์อย่างเขาฉันรู้จักดีทีเดียวแหละ ฉันไม่เคยมีวันหยุดปกติ ไม่ได้ไปไหนมาไหนตามปกติ ไม่ได้นัดเจอกันแบบปกติ โชคดีที่อาชีพเก่าของฉันเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี ถึงแม้ว่างานจะหนักแต่ก็ยืดหยุ่นเรื่องวันลา ลาได้ขอให้งานเสร็จก็พอ
“คุยกับคุณสนุกจริงๆ นะเนี่ย ผมว่าจะถามหลายทีแล้วว่าคุณเรียนที่ไหนมาบ้าง เผื่อว่าเราอาจจะเคยบังเอิญรู้จักกันมาก่อน”
เมทิตย์เริ่มต้นสาธยายโรงเรียนของเขาตั้งแต่สมัยอนุบาล ประถม และมัธยม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าไม่มีที่ไหนสักที่ที่ตรงกับฉัน เราเจอกันที่เรียนพิเศษ มหาวิทยาลัยก็สอบติดกันคนละที่ ดังนั้นถ้าจะมาแกะรอยจากประวัติการศึกษาแบบนี้ก็คงจะไม่เจออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
“แปลกจัง ผมรู้สึกเหมือนกับเคยรู้จักคุณมาก่อนแท้ๆ”
เขาพูดอีกครั้ง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ฉันเองได้แต่ยิ้มเงียบๆ อยู่คนเดียว หัวใจรู้สึกชุ่มชื้นอย่างไรบอกไม่ถูก อย่างน้อยเขาก็พอจะจำได้ แม้จะเป็นเพียงความทรงจำในความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
“นั่นสิคะ ฉันเองก็รู้สึกเหมือนเคยรู้จักคุณมาก่อนเหมือนกัน”