บทที่ 9 ประลองหมาก
กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก
กลยุทธ์จักจั่นทองลอกคราบ แผนการตายหนีความผิดไม่ใช่แผนการใหม่อะไร เขาเห็นมามากแล้ว เพียงแต่หากคนที่อยู่เบื้องหลังรู้ว่าคนที่สมควรตายยังไม่ตาย เกรงว่าจะชิงฆ่าคนปิดปากเสียก่อน
ดังนั้นเวลานี้ต้องรีบชิงลงมือ
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางหนังสือในมือลงกำลังจะจัดเตรียมการ กลับเห็นฉินซู่รีบวิ่งมาตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้แล้วเอื้อมมือลงไป จับกองสิ่งของที่เขาเพิ่งยัดเข้าไปใต้โต๊ะนั้นอย่างแม่นยำแล้วดึงออกมา จากนั้นกระดาษก็กระจัดกระจาย ‘พึ่บพั่บ’ ทั่วพื้นทันที
แม้จะอารมณ์ดีเพียงใด กู้ซิ่งจือก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย จึงก้าวไปข้างหน้าจับคอเสื้อฉินซู่ไว้แล้วยกขึ้น
“เอ๊ะ! โอ๊ย! ปล่อยข้า! เขาจะฆ่าคนแล้ว! กู้ซิ่งจือรองราชเลขาธิการจะฆ่าคนอย่างเปิดเผยตอนกลางวันแสกๆ ในสำนักราชเลขาธิการแล้ว!”
การดิ้นรนของฉินซู่ไม่เป็นผล เขาตะโกนพร้อมกับสลัดกระดาษแผ่นหนึ่งออกจะดูให้ได้
“นี่คือ…” ฉินซู่ที่ถูกยกคอเสื้อขึ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ มองดูสิ่งที่คล้ายแบบคัดลายมือในมือ หน้าย่นเหมือนลูกมะระ
ในมือว่างเปล่า ของถูกกู้ซิ่งจือแย่งกลับไปแล้ว
“เหตุใดเจ้าจึงเขียนแบบคัดลายมือ” ฉินซู่เดินตามกู้ซิ่งจือที่ก้มลงเก็บของ จะต้องถามให้ถ่องแท้ให้ได้
“ฝึกคัดลายมือ”
ฉินซู่ตกตะลึง รู้สึกเหมือนตนเองได้ยินเรื่องน่าขัน
เมื่อมองไปทั่วหนานฉี ลองถามดูว่ามีใครไม่รู้บ้างว่ากู้ซิ่งจือซึ่งเป็นทายาทสายตรงของสกุลกู้แห่งเมืองจินหลิงนั้น นอกจากมีความสามารถยอดเยี่ยมและตำแหน่งสูงส่งแล้ว ยังเชี่ยวชาญการดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และการวาดภาพอีกด้วย
โดยเฉพาะการเขียนพู่กันที่มีพลังงดงาม เป็นธรรมชาติ และยังมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังชื่นชมว่าเขาเป็นนักเขียนพู่กันอันดับหนึ่งในหนานฉี แต่ตอนนี้ภิกษุกู้ผู้นี้กลับตอบด้วยสีหน้าไม่มีความรู้สึกว่ากำลังเขียนแบบคัดลายมือเพื่อฝึกคัดลายมือ
ฉินซู่ฉุกคิด รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังดูถูกกรมอาญาของเขา และยังดูถูกตัวเขาด้วย
ขณะที่คำถามกำลังจะออกจากปากก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่นอกประตู ฉินซู่ชะงัก ได้ยินเสียงที่มีความกังวลเล็กน้อยของเสมียน
“ฝ่ายตรวจการลาดตระเวนเมืองมารายงาน บอกว่าที่ริมฝั่งทางตอนใต้ของแม่น้ำฉินไหวมีขุนนางคนหนึ่งเมาสุราแล้วก่อความวุ่นวายขอรับ”
กู้ซิ่งจือยังคงดูเหมือนแม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ไม่เป็นอะไร ถือแบบคัดลายมือแล้วเดินไปที่โต๊ะก่อนจะหันมาเอ่ยถาม
“เป็นใคร”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ…” เสมียนก้มหน้าซับเหงื่อ “คนผู้นั้นดูแปลกหน้ามาก แต่แต่งกายหรูหราและมือเติบ บนตัวยังสวมเครื่องประดับหยกที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์สวมใส่กัน ทางการจึงไม่กล้าจับกุมส่งเดชขอรับ”
กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว แต่ยังคงพูดอย่างใจเย็นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ควรไปหากรมอาญา ศาลต้าหลี่ หรือไม่ก็ฝ่ายตรวจการ มาหาสำนักราชเลขาธิการหมายความว่าอย่างไร”
เสมียนพึมพำ จำต้องพูดต่อว่า “เขา…เขาเป็นคนขอพบใต้เท้ากู้เอง แล้ว…แล้วยังถามว่าใต้เท้ากู้กล้าประลองหมากกับเขาอีกหรือไม่ขอรับ”
แบบคัดลายมือในมือถือไว้ไม่มั่น ตกลงบนโต๊ะส่งเสียงดัง ‘ตุ้บ’ หลังจากนั้นภายในห้องก็เงียบลงทันที
กู้ซิ่งจือและฉินซู่สบตากัน เห็นเขาอ้าปากกว้าง ดวงตากลมโตกะพริบอย่างเงียบๆ
เมาสุรา ก่อความวุ่นวาย เชื้อพระวงศ์ เข้าเมืองหลวงระยะนี้ ประกอบกับนิสัย ‘ติดการเดินหมาก’ นอกจากคนผู้นั้นแล้วจะเป็นใครได้อีก
“อา…คนผู้นั้น…” ฉินซู่เริ่มหัวเราะออกมาดังๆ อีกครั้งด้วยความเคยชิน “เรื่องอวี๋โหวจากกองทหารรักษาวังคนนั้นจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้แล้ว เป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องกลับกรมอาญาตอนนี้เลย ถึงอย่างไรคนที่เขาต้องการพบคือเจ้าไม่ใช่ข้า เจ้าไปเองก็แล้วกัน”
พูดจบก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดิม
กู้ซิ่งจือยิ้มอย่างจนใจ แล้วสั่งไปที่ประตูด้วยเสียงเรียบว่า “เตรียมรถ”